Shinkaishaku Sangokushi ภาพยนตร์ที่นำเสนอมหาสงครามสามก๊กออกมาในรูปแบบ Comedy
Shinkaishaku Sangokushi ปกติแล้วเมื่อเราพูดถึงสงครามสามก๊กนั้นผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงมหาสงครามแย่งชิงอำนาจและรวมพื้นแผ่นดินในประเทศจีนที่มีความยิ่งใหญ่และมีการชิงไหวชิงพริบกันอยู่เสมอ ส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าจะในหนังสือ ซีรี่ส์ การ์ตูน หรือแม้แต่ภาพยนตร์ที่นำเอาสามก๊กมานำเสนอนั้นจึงมักจะนำเสนอออกมาในรูปแบบที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและจริงจัง
เราจึงไม่เคยเห็นการนำเสนอเรื่องราวดังกล่าวออกมาในรูปแบบของ Comedy ที่มีความตลกและเบาสมอง เนื่องจากหากคิดในความเป็นจริงแล้วมันคงยากไม่น้อยที่จะนำเสนอเรื่องราวสงครามออกมาให้ดูเบาสมองและมีความตลกสอดแทรกอยู่อย่างลงตัว
แต่ผู้กำกับอย่างฟูคาดะ ยูอิชิ ผู้กำกับเดียวกับการ์ตูนอนิเมชั่นอย่างกินทามะสามารถทำออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และแล้วผลงานของเขาก็ออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์เรื่อง Shinkaishaku Sangokushi ภาพยนตร์เรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่นำเสนอสงครามสามก๊กออกมาในรูปแบบของความตลกและเบาสมองคงตลก
คงจะดีไม่น้อยหากเราได้กลิ่นอายของการ์ตูนตลกอย่างกินทามะในเรื่องราวสงครามสามก๊ก โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดฉายในประเทศญี่ปุ่นวันที่ 11 ธันวาคม ปี 2020 ที่จะถึงนี้
การนำเสนอเรื่องราวสามก๊กในครั้งนี้เป็นการตีความแบบใหม่ในมุมมองของผู้กำกับชาวญี่ปุ่น ดังนั้นเราจึงจะได้เห็นเรื่องราวสงครามสามก๊กในรูปแบบที่แตกต่างออกไปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ และยังเป็นครั้งแรกที่มีการนำเสนอเรื่องราวนี้จากมุมมองของคนญี่ปุ่นอีกด้วย
นับเป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่น่าดูเป็นอย่างมาก แต่กำหนดการเข้าฉายในประเทศไทยนั้นยังไม่ได้มีประกาศออกมาชัดเจน หากใครที่ต้องการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะต้องรอฟังข่าวดีหลังเดือนธันวาคมเป็นต้นไป
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Shinkaishaku Sangokushi
Shinkaishaku Sangokushi จะเล่าถึงตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการเกิดมหาสงครามสามก๊ก ในขณะนั้นประเทศจีนยังไม่ได้รวมกันเป็นปึกแผ่นแบบในปัจจุบัน มีการแบ่งแผ่นดินออกเป็นอาณาจักรโดยแต่ละอาณาจักรนั้นก็จะมีการปกครองตนเอง
ในขณะนั้นมีอาณาจักรหนึ่งซึ่งเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นมหาอาณาจักรนั่นก็คือมหาอาณาจักรฮั่น เป็นมหาอาณาจักรที่ดำรงอยู่อย่างเป็นสุขตลอดมา จนถึงครั้งการปกครองในพระเจ้าฮั่นเต้ ก็เกิดเรื่องให้ความสงบสุขนั้นสั่นคลอนเนื่องจากพระองค์มิได้มีราชบุตรไว้สืบทอดพระราชบัลลังก์
พระองค์จึงได้รับเอาเด็กชายที่มีชื่อว่าเลนเต้มาเลี้ยงดูในตำแหน่งของพระราชโอรสบุญธรรม จนถึงเวลาที่เหมาะสมเด็กชายเติบโตขึ้นและได้ขึ้นครองราชย์ และเปลี่ยนพระยศเป็นพระเจ้าเลนเต้ ทำให้มหาอาณาจักรฮั่นนั้นตกสู่ยกตกต่ำ ผู้ปกครองไม่ได้ปกครองอย่างมีทศพิธราชธรรม
อำนาจได้ตกไปอยู่ในมือของขุนนางชั่วและขันทีที่มีส่วนรู้เห็น ทำให้บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสายและเดือดร้อนกันไปทั่วทุกหัวระแหง จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เตียวก๊กนั้นต้องทำการตั้งกองโจรหรือที่ตัวเขานั้นเรียกว่ากองทัพโพกผ้าเหลืองขึ้นมาเพื่อทำการต่อต้านและโค่นล้มราชสำนักที่ไม่มีความสามารถมากพอในการบริหารบ้านเมือง
เมื่อทางราชสำนักรู้ข่าวก็ได้ส่งกองทัพหลวงมาปราบโดยอ้างว่ากองทัพนี้เป็นโจรกบฏ ทำให้เล่าปี่ซึ่งมีเชื้อสายของจักรพรรดิในราชวงศ์ฮั่นได้เข้าร่วมเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับชายอีกสองคนนั่นก็คือเตียวหุยและกวนอู เข้าต่อสู้กับกลุ่มกองทัพโพกผ้าเหลืองจนได้รับความดีความชอบ
ในขณะที่อีกฝั่งนั้นโจโฉก็ได้ควบคุมกองทัพหลวงเข้าโจมตีกลุ่มโจรกบฏเช่นเดียวกัน ทำให้เหตุการณ์การสู้รบกันมีความยิ่งใหญ่มากยิ่งขึ้น
ความน่าสนใจคือวิธีการเล่าเรื่องของผู้กำกับที่มีการตีความเรื่องราวที่เกิดขึ้นในมหาสงครามครั้งนี้ในรูปแบบใหม่ทั้งหมด โดยจะเล่าเรื่องผ่านมุมมองของแต่ละตัวละครที่มีความเห็นแตกต่างกันออกไปซึ่งจะนำไปสู่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เต็มไปด้วยความตลกในรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ในสไตล์ของผู้กำกับที่ไม่เหมือนใครแบบที่เราเคยเห็นกันในการ์ตูนเรื่อง Gintama มาก่อน
Shinkaishaku Sangokushi ในมุมมองของผู้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์
เรียกได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เล่นใหญ่เป็นอย่างมากเพราะคนที่มาร้องเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่อง Shinkaishaku Sangokushi เป็นถึงนักแสดงชื่อดังที่เคยรับบทเซจูโร่ในภาพยนตร์เรื่องซามูไรพเนจรมาก่อน
การที่เขามาร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ ทำให้มีการสัมภาษณ์ถึงความเห็นของภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเขานั้นได้กล่าวเอาไว้ว่า หลังจากที่ได้อ่านบทก็สามารถมองเห็นภาพรวมไปถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้คนในยุคดังกล่าวที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและความแรงแค้นจนทำให้เกิดสงครามขึ้นมา
แต่ผู้กำกับกลับสามารถนำเสนอเรื่องราวดังกล่าวออกมาโดยมีการสอดแทรกมุขตลกจนมันกลายเป็นเรื่องเบาสมองที่สามารถเข้าใจได้ง่ายมากขึ้นและเป็นเรื่องราวที่มีความสนุกมากยิ่งขึ้น เป็นการมองในมุมมองของความรักต่อมนุษย์ด้วยกัน
ในมุมมองของเขานั้นเห็นว่าตัวละครทุกตัวเป็นนักปฏิวัติที่ทำทุกสิ่งไปอย่างมีเหตุผล และทุกคนนั้นมีความต้องการและความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่ากลับบ้านเกิดของตนเอง
นับเป็นความสามารถที่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทำได้กับการนำเสนอเรื่องราวที่เต็มไปด้วยการเมืองสงครามและความตึงเครียดให้ออกมาในรูปแบบของ Comedy ได้อย่างลงตัวและไม่ได้ดูมากเกินไปหรือน้อยเกินไป เป็นส่วนผสมที่กำลังพอดี