แนะนำภาพยนตร์สยองขวัญ Midsommar ปกติแล้วภาพยนตร์แนวสยองขวัญหรือภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยฉากที่โหดร้ายและทารุณนั้นมักจะนำเสนอใน Mood and Tone ที่ค่อนข้างจะดำมืด อยู่ในพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีแสงสว่าง เพื่อบิวท์บรรยากาศให้ผู้รับชมนั้นรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นระทึกได้ตลอดเวลา
ดังนั้นมันจึงไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีผู้กำกับให้เลือกนำเสนอภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่เต็มไปด้วยงานภาพยนตร์แรงในโทนสีพาสเทลและบรรยากาศที่เต็มไปด้วยต้นไม้ แสงอาทิตย์ และสายลม เรียกได้ว่าหากรับชมตัวอย่างภาพยนตร์แบบผ่านๆ แล้วล่ะก็อาจจะนึกว่าเป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกก็เป็นได้
ภาพยนตร์เรื่องนั้นนั่นก็คือ Midsommar มันไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ที่ต้องการจะนำเสนอความสยองขวัญแบบแหวกแนวเท่านั้นแต่มันยังจัดเต็มเรื่องความทารุณและโหดร้ายจนได้รับเรท 20+ ในประเทศไทย เป็นภาพยนตร์ที่หากคุณต้องการจะรับชมจะต้องพกบัตรประชาชนเข้าไปในโรงภาพยนตร์ด้วย
แม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญแต่มันก็เต็มไปด้วยปรัชญาและความหมายที่ทางผู้กำกับนั้นต้องการจะสื่อผ่านศิลปะ มันจึงเหมาะทั้งสำหรับผู้รับชมที่ต้องการเข้าไปเสพความสยองขวัญแบบไม่ต้องคิดอะไรเพราะมีฉากให้เห็นแบบตรงๆ
หรือแม้กระทั่งผู้รับชมที่อยากจะตีความไปในแง่ของปรัชญาหรือความหมายแฝงก็ดูได้อย่างสนุกสนานเช่นเดียวกัน ต้องเรียกว่าเป็นความกล้าที่จะนำเสนอภาพยนตร์สยองขวัญในมุมมองใหม่ของผู้กำกับและคนเขียนบทที่เคยประสบความสำเร็จจากภาพยนตร์เรื่อง Hereditary กรรมพันธุ์นรกมาก่อน
การที่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวมีชื่อเสียงโด่งดังนั้นน่าจะจุดประกายและสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาได้เป็นอย่างดี ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่มีการเปิดตัวออกมาก็ว่าได้
เพราะการเลือกมุมมองในการนำเสนอภาพยนตร์แนวสยองขวัญแบบไหนที่เต็มไปด้วยแสงสว่างและสีพาสเทลนั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยากเป็นอย่างมากในวงการภาพยนตร์ทำให้มีผู้คนสนใจและกลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้างจนมันมีชื่อเสียงโด่งดังในที่สุดตั้งแต่ก่อนจะเข้าฉายเสียอีก
แนะนำภาพยนตร์สยองขวัญ Midsommar
เรื่องราวภายในภาพยนตร์เรื่อง Midsommar
- Midsommar เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ทำให้มีพระอาทิตย์ส่องสว่างในเวลาเที่ยงคืน ทำให้ช่วงเวลานานหลายเดือนในแถบประเทศยุโรปนั้นอยู่ในเวลากลางวันติดต่อกันตลอดเวลา
- ซึ่งก็จะคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบริเวณขั้วโลกใต้ที่ผู้คนในบริเวณนั้นจะต้องอยู่ในเวลากลางคืนติดต่อกันเป็นเวลายาวนานหลายเดือน เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดเทศกาลเสมือนการเฉลิมฉลองขึ้นมาแต่ไม่ได้มีเรื่องความเชื่อหรือพิธีกรรมเช่นเดียวกับในภาพยนตร์
- โดยในภาพยนตร์นั้นจะเล่าถึงเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่น 5 คนที่ต้องการจะไปทำงานวิจัยเพื่อยื่นจบ แต่พวกเขานั้นกลับยังไม่ได้หัวข้อในการวิจัย ในขณะเดียวกันตัวนางเอกนั้นก็ต้องพบเจอกับปัญหาใหญ่ในชีวิตเนื่องจากครอบครัวนั้นฆ่าตัวตายกันยกบ้านเหลือเธอคนเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิต
- ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มจึงได้เสนอความคิดที่จะชวนทุกคนไปท่องเที่ยวที่หมู่บ้านที่ตนอาศัยอยู่ในประเทศสวีเดน ซึ่งกำลังมีเทศกาลที่มีชื่อว่า Midsommar อยู่ แต่หมู่บ้านของเขานั้นอยู่ค่อนข้างห่างไกลทำให้ต้องใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน
- เมื่อไปถึงแล้วพวกเขานั้นก็ได้พบกับชายหญิงอีก 1 คู่ที่มาเข้าท่องเที่ยวและเข้าร่วมกับเทศกาลดังกล่าว แม้ว่าจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี แต่ทุกคนนั้นก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดของคนในหมู่บ้านที่แต่งกายในชุดขาวกันทุกคนและยังมักจะทำสิ่งต่างๆ ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง เต้นรำ หรือแม้แต่การร้องไห้
- แต่ทุกอย่างนั้นก็ยังคงเป็นไปตามปกติจนถึงวันที่มีพิธีใหญ่ที่ทำให้ทุกคนนั้นต้องตกตะลึงและรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ในขณะที่พวกเขานั้นกำลังเกิดคำถามขึ้นในหัวมากมายกับวัฒนธรรมที่ไม่สามารถรับได้นั้น ไม่นานชายหญิงซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ
- ไม่เพียงเท่านั้นเพื่อนในกลุ่มทั้ง 5 คนต่างก็เจอกับเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย และค่อยๆ ทยอยหายตัวกันไปทีละคน พวกเขานั้นหายตัวไปด้วยเหตุใด แล้วเรื่องราวรวมไปถึงวัฒนธรรมที่แปลกประหลาดนั้นจะมีคำตอบหรือไม่ สุดท้ายแล้วชะตากรรมของแต่ละคนนั้นจะเป็นอย่างไรสามารถติดตามรับชมได้ในภาพยนตร์
ภาพยนตร์เรื่อง Midsommar ในมุมมองของศิลปะและนัยยะ
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่อง Midsommar จะเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญ แต่ในทุกๆ ฉากนั้นได้มีการสอดแทรกศิลปะเข้าไปได้อย่างลงตัว และศิลปะเหล่านั้นยังสามารถสื่อความหมายหรือนัยยะที่ทางผู้กำกับต้องการจะสื่อสารกับผู้รับชมออกมาได้อีกด้วยหากผู้รับชมนั้นมีการสังเกตและตีความ
ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่ขายเพียงแค่ฉากแหวะหรือฉากที่มีความโหดร้ายเพียงเท่านั้น แต่มันยังขายงานศิลปะอีกด้วย
อาจเป็นเพราะว่าวิธีการนำเสนอที่เต็มไปด้วยแสงสว่างและการใช้โทนสีแนวพาสเทลทำให้ผู้กำกับและคนเขียนบทนั้นมีโอกาสที่จะสอดแทรกสิ่งเหล่านี้เข้าไปได้มากกว่าภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่องอื่นที่มักจะเสนอในพื้นที่ค่อนข้างมืดและการใช้โทนสีที่ค่อนข้างจะทึบ
ไม่เพียงแต่งานศิลปะที่สอดแทรกตามฉากเท่านั้น ยังมีพฤติกรรมของตัวละครภายในเรื่องที่แสดงออกมาในเชิงสัญลักษณ์อีกด้วย หากไม่ได้ตีความก็อาจจะได้รับความสยองขวัญ เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นพฤติกรรมที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงทำแบบนั้น
แต่หากตีความแล้วเราอาจจะได้รับความหมายใหม่ๆ ที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อก็ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงได้เลือกวิธีการนำเสนอที่ค่อนข้างจะเรียบง่าย ไม่ได้หวือหวา เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่สามารถดูไปได้เรื่อยๆ จนจบเรื่อง
นั่นก็เพื่อให้ผู้ชมนั้นได้มีเวลาในการเสพศิลปะและตีความนั่นเอง วิธีการใช้มุมกล้องต่างๆ นั้นได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้รับชมนั้นสามารถเข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกของเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้มากยิ่งขึ้น
แม้ว่าฉากนั้นตัวละครจะไม่ได้พูดอะไรเลยก็ตามแต่ผู้รับชมก็สามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นวิธีการและเทคนิคการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาดเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากใครที่เป็นคนที่ชื่นชอบศิลปะและการตีความนั้นน่าจะชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก
Director: Ari Aster
Writer: Ari Aster
Stars: Florence Pugh, Jack Reynor, Vilhelm Blomgren
Yangdu-Duyang.com จะพาทุกท่านไปพบกับ การรีวิว แนะนำหนัง ภาพยนต์ ทั้งในและต่างประเทศ ที่น่าดู น่าติดตาม บอกได้เลยว่าทุกท่านต้องห้ามพลาด