รีวิว อนิเมชั่น MINIONS 2 THE RISE OF GRU

รีวิว อนิเมชั่น MINIONS 2 THE RISE OF GRU

รีวิว อนิเมชั่น MINIONS 2 THE RISE OF GRU จากนักแสดงสมทบสู่นักแสดงหลักในภาพยนตร์ตัวเองที่ออกภาค 2 เรียบร้อยแล้ว 

ในภาพยนตร์หนึ่งเรื่องนั้นจะประกอบไปด้วยนักแสดงหลักและนักแสดงสมทบ โดยตัวนักแสดงสมทบนั้นส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากมายแต่เข้ามาเพิ่มสีสันและช่วยให้การดำเนินเรื่องราวเป็นไปอย่างไหลลื่นมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็มีหลายครั้งเช่นเดียวกันที่ตัวละครสมทบเหล่านี้จะสามารถโดดเด่นจนแย่งซีนตัวละครหลักได้ และหนึ่งในนั้นก็คือตัวละครมินเนี่ยนในภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง DESPICABLE ME นั่นเอง 

ด้วยรูปร่างกล้วยสุดน่ารักแถมภาษา BANANA ที่ฟังแล้วไม่เห็นจะเข้าใจแต่มันกลับสามารถคว้าหัวใจของใครหลายๆ คนได้อย่างอยู่หมัดเลยทีเดียว เพราะตัวละครนี้ดังเปรี้ยงปร้างแน่นอนว่าสตูดิโอย่อมหยิบเอามาสานต่ออย่างแน่นอน และมันก็ทำให้เราได้รับชมภาพยนตร์เกี่ยวกับมินเนี่ยนแบบเต็มๆ ไปเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นทางสตูดิโอก็กลับไปทำภาพยนตร์ตัวหลักอย่าง DESPICABLE ME อีกครั้ง ทำให้หลายคนคิดถึงตัวละครมินเนี่ยนไม่น้อยเลยทีเดียว และหากคุณเป็นหนึ่งในนั้นขอแสดงความยินดีด้วยเพราะล่าสุดภาพยนตร์มินเนี่ยนได้ออกภาค 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วในชื่อ MINIONS 2: THE RISE OF GRU

ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือการกลับมาในครั้งนี้มีผู้กำกับถึง 3 คนเลยทีเดียวซึ่งแต่ละคนนั้นก็เคยผ่านการกำกับภาพยนตร์มาแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็นมินเนี่ยนภาคแรก THE SECRET LIFE OF PETS 2 หรือแม้แต่ YELLOW LIGHT การผนึกกำลังการของผู้กำกับมากฝีมือเหล่านี้น่าจะช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ทวีความสนุกสนานมากขึ้นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว 

หนังมินเนี่ยน

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง MINIONS 2: THE RISE OF GRU

MINIONS 2: THE RISE OF GRU เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าเรื่องราวต่อจากภาคแรกที่เรามีเนี่ยพยายามตามหาวายร้ายมาทุกยุคทุกสมัยแต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในครั้งนี้พวกเขาจะได้พบกับเด็กหนุ่มตัวน้อยที่มีชื่อว่ากรู เด็กคนนี้มีความฝันว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะต้องเป็นวายร้ายที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดในโลก เหล่าลูกสมุนตัวสีเหลืองจึงพยายามเสนอตัวเข้ามาช่วยแต่กลับกลายเป็นสร้างเรื่องป่วนตามมาเสียอย่างนั้น 

กรูได้เดินทางมายังสถานที่สภาของบรรดาวายร้ายที่มีชื่อว่าวิเชียส 6 เนื่องจากเขานั้นต้องการจะพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นวายร้ายแบบเต็มตัว ด้วยความฝันที่แน่วแน่เขาจึงต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองด้วยการขโมยอัญมณีของวายร้ายตัวแม่ที่มีชื่อว่า BELL BOTTOM เพื่อให้สภาวายร้ายตัดสินใจรับเขาเป็นหนึ่งในสมาชิก แต่มันกลับกลายเป็นว่าบรรดาสภาวายร้ายดันผนึกกำลังกันออกตามไล่ล่าเขาเสียอย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นแม่ชีที่มีกระบองเป็นอาวุธ วายร้ายจอมพลังที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง หรือแม้แต่มนุษย์ที่มีกล้ามแขนเป็นมัดๆ

แต่เขาก็ไม่ได้น้อยหน้าแต่อย่างใดเพราะเขานั้นมีจักรยานไอพ่นแถมยังมีมินเนี่ยนที่คอยช่วยเหลืออีกด้วย เขาจึงตัดสินใจใช้แผนหลอกล่อด้วยให้มินเนี่ยนที่มีชื่อว่าอ็อตโต้นำอัญมณีล้ำค่าแยกไปอีกทางส่วนตนเองจะเป็นคนล่อวายร้ายไป ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นตามแผนและเขาเกือบจะได้เป็นวายร้ายอยู่แล้ว แต่อัญมณีที่อ็อตโต้เอามานั้นดันเป็นเพียงแค่หินเด็กเล่นเสียอย่างนั้น เพราะมันดันไปหลงอยู่ในบ้านของเด็กที่กำลังจัดงานวันเกิดคนหนึ่ง เพราะเห็นก้อนหินนี้มันก็ตกหลุมรักเลยเอาอัญมณีไปแลกเสียอย่างนั้น หลังจากนั้นเรื่องวุ่นวายจึงตามมาแบบไม่หยุดหย่อน 

ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง MINIONS 2: THE RISE OF GRU

MINIONS 2: THE RISE OF GRU เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นแนวคอมเมดี้ที่ยังคงมาพร้อมกับการเล่าเรื่องราวสูตรสำเร็จเหมือนเดิม แทบจะไม่มีอะไรต่างจากภาคที่แล้วเลยแม้แต่น้อย แต่ความสนุกสนานของมันก็คือความน่ารักและความไม่ประสีประสาของมินเนี่ยนที่สร้างเรื่องราวสุดฮาออกมามากมาย และมันก็สามารถตอบโจทย์ผู้รับชมที่ต้องการรับชมภาพยนตร์อนิเมชั่นเพื่อผ่อนคลายสมองเช่นเดียวกัน 

ดังนั้นตลอด 90 นาทีของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยความฮาและเสียงหัวเราะที่สมบูรณ์แบบ แม้ว่าภาพยนตร์จะไม่มีอะไรพัฒนาจากเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อยแต่มันก็สามารถสร้างความบันเทิงให้กับผู้รับชมได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าภาคนี้มีการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครในภาพยนตร์เรื่อง DESPICABLE ME มีอย่างกรูมากขึ้นกว่าเดิมไม่ได้มีการเล่าเรื่องราวย้อนกลับไปในอดีตอีกแล้วแต่อย่างใด 

การที่มีผู้กำกับถึง 3 คนแถมยังเป็นผู้กำกับมือดีที่ผ่านการสร้างภาพยนตร์มามากมายนั้นเหมือนจะเป็นข้อดีที่ช่วยให้ภาพยนตร์มีความสนุกสนานและมีไอเดียที่แปลกใหม่มากขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่เป็นดาบสองคมก็คือการเล่าเรื่องราวที่ไม่ไปด้วยกันสักเท่าไหร่ เราสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าภาพยนตร์มีการเล่าเรื่องที่กระโดดข้ามไปข้ามมาอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเรื่องราวออกมาจะสนุกสนานแต่มันก็มักจะกระชากอารมณ์เราไปมาอยู่เสมอ

โดยรวมแล้วถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำออกมาเพื่อขายจุดขายอย่างมินเนี่ยนอย่างแท้จริง หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบมินเนี่ยนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วรับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน แต่หากคุณเป็นคนที่รับชมภาพยนตร์แบบจริงจังขึ้นมาสักเล็กน้อยก็อาจจะสังเกตเห็นถึงจุดบกพร่องของภาพยนตร์ไปบ้าง อย่างไรก็ตามมันก็ยังนับว่าเป็นภาพยนตร์ที่สามารถสร้างความสนุกสนานและความบันเทิงให้กับผู้รับชมได้อยู่ดี 

ตัวอย่างอนิเมชั่น MINIONS 2 THE RISE OF GRU

รีวิวหนัง MINIONS 2 THE RISE OF GRU บางส่วนจาก beartai

นับจากปรากฎตัวใน ‘Despicable Me’ เมื่อ 12 ปีก่อน ตัวมินเนียนกลม ๆ เหลือง ๆ ใส่เอี๊ยมยีนส์ก็กลายเป็นคาแรกเตอร์สุดฮิตที่นอกจากจะเป็นการตอกเสาเข็มทำให้ อิลลูมิเนชัน เอ็นเตอร์เทนเมนต์ (Illumination Entertainment) กลายเป็นฐานทัพผลิตแอนิเมชันฮิตป้อนยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio) อย่างต่อเนื่อง และปีนี้เหล่าพลพรรคมินเนียนเหลืองกลมก็ได้ฤกษ์กลับมาป่วนกวนฮาเรียกคะแนนจากเหล่าแฟนคลับกันอีกครั้ง

โดยเรื่องราวใน ‘Minions The Rise of Gru’ จะเน้นไปที่เหตุการณ์เมื่อเหล่ามินเนียนได้มาอยู่กับ กรู เด็กประธมที่ใฝ่ฝันอยากเป็นวายร้ายระดับโลก ซึ่งสำหรับวงการอาชญากรแล้วไม่มีกลุ่มก้อนไหนจะโฉดชั่วสุดเซี้ยวเท่ากลุ่มวิเชียสซิกส์ 6 อาชญากรสุดโฉด ที่นำโดย เบลล์ บอตทอม หลังจากการออดิชันจบลงด้วยคำดูถูก กรู จึงแก้เผ็ดด้วยการขโมยสร้อยเหรียญนักกษัตรมหากาฬที่กุมอำนาจครองโลก แต่ไม่วายกรูดั๊นถูกลักพาตัวจนเหล่ามินเนี่ยนต้องรวมพลังจุ้มปุ๊กหาทางช่วยเจ้านายน้อยของพวกเขาก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

หากตัดเกรดหนังที่โจทย์ของมัน ‘Minions The Rise of Gru’ แทบไม่มีจุดให้หักคะแนนเลย อ่ะคนดูอยากดูมินเนียนใช่มั้ย 80% ของหนังภาพที่กระทบเรตินาของเราก็มีแต่เหลือง ๆ ฟ้า ๆ เต็มไปหมด แถมมันยังเล่นมุกกาว ๆ ฮา ๆ กวน ๆ ชวนขยับเหงือกเต็มไปหมด มิหนำซ้ำมันยังสัมทับด้วยการนำเสนอไลฟ์สไตล์ยุค 70s ที่เวิร์กมาก ๆ ทั้งร้านขายแผ่นเสียง เพลงฟังก์ หนังสุดฮิตอย่าง ‘Jaws’ และแฟชันที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ให้เราได้ตื่นตาอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงมุกล้อหนังดังที่บางมุกก็อาจลึกเกินเด็ก ๆ จะเข้าใจไปหน่อย

โดยสาระสำคัญของบทหนังไม่มีอะไรมากไปกว่าการบอกให้คนดูตระหนักได้ว่าหลายครั้งความสำเร็จที่แท้จริงก็มาจากทีมเวิร์ก และยังแอบใส่บทเรียนเรื่องความไว้ใจที่หลายครั้งก็ย้อนกลับมาทิ่มแทงเราได้อย่างเจ็บแสบเหมือนเรื่องราวตอนต้นเรื่อง ซึ่งตรงนี้หากคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยมาดูก็ถือว่าหนังเป็นตัวช่วยในการสอนเรื่องความฉลาดในการจัดการความสัมพันธ์ได้ดีประมาณนึงเลยทีเดียว

อีกจุดที่ถือเป็นไฮไลต์ของหนังคือการปรากฎตัวของตัวละคร อาจารย์โจว ที่มิเชล โหยว (Michelle Yeoh) ฝากเสียงพากย์ปรมาจารย์กังฟูในคราบหมอฝังเข็มได้อย่างน่าจดจำ แม้ว่าเวลาบนจออาจเทียบได้แค่ดารารับเชิญแต่เป็นหัวใจหลักส่งผลต่อบทสรุปไม่น้อย และเสียงของโหยวก็ทำให้ภาพของอาซิ่มตัวท้วมเต็มไปด้วยพิษสงและชวนให้นึกถึงหนังฮ่องกงสมัยเธอเป็นนางเอกไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับเสียงพากย์ของสตีฟ คาเรลล์ (Steve Carell) ก็นับว่ามหัศจรรย์มากเพราะคาเรลล์บีบเสียงให้กรูกลายเป็นเวอร์ชันหนุ่มน้อยได้อย่างน่าเชื่อถือ ส่วนอีกคนที่น่าชื่นชมได้แก่ ทาราจี พี เฮนสัน (Taraji P. Henson) ก็มาให้เสียงพากย์เป็นเบลล์ บอตทอม หรือ ในซับไตเติลภาษาไทยสุดฮาแปลเป็น ขาบานสะท้านซอย ก็ให้เสียงพากย์ที่ดูไดนามิกแอบเซ็กซี่เล็ก ๆ สร้างสีสันได้ไม่น้อยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเซอร์ไพรส์ด้วยการเชิญ ฌอง คล็อด แวน แดม (Jean-Claude Van Damme) มาพากย์เป็นตัวร้ายก้ามปูนาม ฌอง คลอว์ และ ดอล์ฟ ลุนด์เกรน (Dolph Lundgren) ในพากย์เป็น สเวนเจนซ์ แต่บอกตามตรงบทพากย์น้อยมากจนฟังไม่ออกเลย (ฮ่าาาา)

นอกจากงานภาพแล้วอีกจุดที่ต้องชื่นชมคืองานออกแบบเสียงและสกอร์ของหนังที่โอบอุ้มและเชิดชูความเป็นหนังตลกกึ่งแอ็กชันของมันได้ตลอดลอดฝั่ง แม้หลายครั้งจะอดคิดถึงอนิเมชันค่ายคู่แข่งอย่าง ‘Kung Fu Panda’ ไม่ได้ก็ตามแต่การออกแบบเสียงที่สอดประสานกับงานภาพก็ทำให้เห็นเลยว่ามันเป็นงานละเอียดที่ช่วยให้หนังทั้งน่าตื่นตาตื่นใจและชวนให้เราฮาอย่างออกรสออกชาติเลยทีเดียว

แนะนำหนัง รีวิวหนัง รีวิวซีรีส์เกาหลี Netflix ซีรีส์ต่างประเทศ

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า