รีวิว อนิเมชั่น FROZEN Disney+ Hotstar
รีวิว อนิเมชั่น FROZEN Disney+ Hotstar อนิเมชั่นเจ้าหญิงที่ฉีกภาพลักษณ์เจ้าหญิงดิสนีย์ออกไป
ถ้าพูดถึงเจ้าหญิงดิสนีย์เรามักจะนึกถึงหญิงสาวแสนสวยที่มีชะตากรรมตกระกำลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความดีงาม ความร่าเริงสดใส พร้อมให้โอกาสทุกคน พูดคุยกับต้นไม้ใบหญ้าและสัตว์ป่าเหมือนกับว่าพวกมันฟังรู้เรื่อง และที่สำคัญคือพวกเธอต้องร้องเพลงเพราะ มันจึงกลายเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างว่าเจ้าหญิงดิสนีย์ได้สร้างทัศนคติถึงความเป็นผู้หญิงให้กับเด็กสาวที่รับชมอนิเมชั่นเหล่านี้ให้มีความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปหรือไม่ เพราะบทสรุปสุดท้ายเจ้าหญิงแทบทุกคนก็มักจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากชายที่ทั้งเรื่องไม่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายอะไรเลยด้วยซ้ำไป
แต่มีภาพยนตร์อนิเมชั่นเจ้าหญิงจากดิสนีย์เรื่องหนึ่งที่ได้ฉีดภาพลักษณ์เจ้าหญิงดิสนีย์ออกไปอย่างสิ้นเชิงคล้ายกับอนิเมชั่นเรื่องมู่หลานไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะมันเป็นเรื่องราวแนวเพื่อนหญิงพลังหญิงนั่นก็คืออนิเมชั่นเรื่อง FROZEN อนิเมชั่นเรื่องนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจนในช่วงเวลานั้นทั่วบ้านทั่วเมืองต่างก็ร้องเพลง LET IT GO เด็กๆ ทั้งหลายต่างใส่เสื้อเจ้าหญิงเอลซ่าและอันนากันเต็มไปหมด แม้แต่ผู้ใหญ่เองบางคนก็ยังแต่งคอสเพลย์เลยก็มีเนื่องจากมันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
เชื่อว่าหลายคนน่าจะชมภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเนื่องมาจากมันออกมาเป็นระยะเวลานานหลายปีจนมีการสร้างภาค 2 ออกมาและประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน แต่สำหรับใครที่ไม่เคยชมภาพยนต์เรื่องอนิเมชั่นเรื่องนี้มาก่อนเราอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองรับชมดูเป็นอย่างมากเพราะมันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและทำให้เราได้อะไรเป็นข้อคิดหลังรับชมต่อไม่น้อยเลยทีเดียว
เรื่องราวในอนิเมชั่นเรื่อง FROZEN
FROZEN จะพาเราเข้าสู่อาณาจักรเอเรนเดลล์ มันเป็นอาณาจักรที่ปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ผู้คนส่วนใหญ่ทำอาชีพในการตัดน้ำแข็งไปขายหรือบางคนก็ทำอาชีพอย่างที่คนเมืองหนาวทำ ดินแดนแห่งนี้ปกครองโดยราชินีและราชาคู่หนึ่งที่มีลูกสาว 2 คน ลูกสาวคนโตชื่อว่าเอลซ่า เธอเป็นเด็กสาวผมบลอนด์ที่มาพร้อมกับความสามารถพิเศษที่เธอคิดว่ามันคือคำสาปมาโดยตลอด เธอสามารถสร้างหิมะและน้ำแข็งได้ และน้องสาวคนธรรมดาที่รักพี่สาวเป็นอย่างมากอย่างอันนา ในตอนเด็กทั้งสองคนเล่นกันเหมือนพี่น้องทั่วไปแต่ในวันหนึ่งเอลซ่าเกือบทำให้น้องสาวต้องเสียชีวิตจากพลังวิเศษของเธอ จากนั้นเธอก็ได้เปลี่ยนไปกลายเป็นเด็กที่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
วันหนึ่งพ่อแม่ของเธอต้องเดินทางไกลด้วยการโดยสารเรือ แต่หลังจากนั้นไม่นานสองพี่น้องก็ต้องได้รับข่าวร้ายว่าเรือของพ่อแม่พวกเธอนั้นล่มกลางทะเล เป็นเหตุให้พี่สาวอย่างเอลซ่าที่ในตอนนี้เติบโตเป็นเด็กสาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องรับหน้าที่ปกครองเมืองต่อไป แต่เธอนั้นเต็มไปด้วยความกังวลเนื่องจากเธอกลัวว่าพลังวิเศษของเธอจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไปและชาวเมืองจะรับไม่ได้
ในวันราชาภิเษกน้องสาวของเธอก็ได้พบเข้ากับเจ้าชายจากต่างเมือง และมันก็เป็นเหมือนกับที่เจ้าหญิงดิสนีย์ทุกคนเป็นคือทั้งสองคนตกหลุมรักกันแทบจะในทันทีแถมยังวางแผนที่จะแต่งงานกัน เรื่องนี้ทำให้เราทราบไม่พอใจเป็นอย่างมากและมันก็ทำให้เธอควบคุมพลังของเธอไม่ได้ จากนั้นเหตุการณ์วุ่นวายก็ได้เริ่มต้นขึ้นเพื่อพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง FROZEN
FROZEN เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นของดิสนีย์ที่มีความน่าสนใจตรงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมือนจะมีพระเอกแต่พระเอกกับบทเด่นไม่เท่าสองพี่น้องอย่างเอลซ่าและอันนา เรื่องราวจะเน้นหนักเล่าถึงความเป็นตัวของตัวเองของเด็กสาวและการปกป้องกันระหว่างสองพี่น้องที่ครั้งหนึ่งความสัมพันธ์ห่างเหินไปแต่ก็ต้องกลับมาร่วมมือกันเพื่อปกป้องอาณาจักรอีกครั้ง
และที่จะไม่พูดถึงไปไม่ได้เลยก็คือเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สามารถทำออกมาได้ดีและติดหูเป็นอย่างมากอย่าง LET IT GO เป็นเพลงที่เรียกได้ว่าเป็นกระแสมากที่สุดในช่วงที่มีการออกฉายภาพยนตร์เลยก็ว่าได้ มันเป็นภาพยนตร์ที่ดูได้อย่างสนุกสนานไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่มีลูกเป็นพี่น้องกันเพราะมันจะช่วยให้เด็กๆ สามารถตระหนักถึงความสำคัญของการมีพี่น้องได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
สำหรับผู้ใหญ่เองภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะมอบความสนุกสนานให้แล้วมันยังสามารถมอบข้อคิดให้กับเราได้อีกมากมาย มันเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นจากดิสนีย์ที่ฉีกภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงดิสนีย์ที่ต้องรอคอยเจ้าชายหรือผู้ชายมาช่วยเหลือตลอดไป แต่ถึงอย่างนั้นตัวละครชายในภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้ก็ไม่ได้หายไปแต่อย่างใดแถมยังมีบทบาทสำคัญที่น่าสนใจไม่น้อยอีกด้วย
ในส่วนของงานภาพมันอาจจะเป็นงานภาพยุคใหม่ที่ไม่เหมือนกับภาพยนตร์อนิเมชั่นเจ้าหญิงดิสนีย์ยุค 2 มิติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถทำผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะปราสาทหิมะที่เอลซ่าสร้างขึ้นมา งานภาพที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งช่วยให้เรารู้สึกหนาวเย็นได้เป็นอย่างดี มันอาจจะฟังดูประหลาดแต่มันจะช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงความรู้สึกและอารมณ์ของตัวละครหลักภายในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างอนิเมชั่น FROZEN
รีวิวอนิเมชั่น FROZEN บางส่วนจาก beartai
หลังปกครองเอเรนเดลให้สงบสุขมาเนิ่นนานจนกระทั่ง เอลซา (พากย์โดย อีดินา เมนเซล)ราชินีเอเรนเดลผู้มีพลังแห่งหิมะได้ยินเสียงพรากจากแดนไกลที่มาพร้อมภัยพิบัติครั้งใหญ่ต่อเอเรนเดล จนเธอ และอันนา (พากย์โดย คริสเตน เบล) น้องสาวของเธอ , คริสทอฟ (พากย์โดย โจนาธาน กรอฟ) , โอลาฟ (พากย์โดย จอช แกด) และสเวน จึงออกเดินทางเพื่อตามหาที่มาพลังของเอลซา และได้ล่วงรู้ความลับของตำนานความขัดแย้งระหว่าง เอเรนเดล กับ นอร์ธัลดรา ที่อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่คำตอบที่พวกเธอหาอยู่
หลัง Frozen สร้างปรากฎการณ์ไปทั่วโลกเมื่อ 6 ปีก่อนส่งผลให้ เอลซา และ อันนา กลายเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ยุคใหม่ที่ไม่ต้องรอพึ่งพาผู้ชายเหมือนในแอนิเมชันคลาสสิกของค่าย ที่สำคัญคือมันล้างอาถรรพ์และคำสบประมาทที่ว่า ดิสนีย์ ทำแอนิเมชัน 3 มิติไม่ได้ดีเท่าพิกซาร์ ไปได้แบบราบคาบจริง ๆ โดยยังคงเอกลักษณ์แอนิเมชันที่เล่าเรื่องด้วยมิวสิคัลและเพลงประกอบภาพยนตร์ก็ฮิตติดลมบนไปตามระเบียบ และเพื่อสานต่อเสียงเรียกร้องของแฟนคลับ (และรายได้มหาศาลที่จะหลั่งไหลมาสู่บริษัท) คริส บัค และ เจนนิเฟอร์ ลี จึงกลับมาสานต่อตำนานอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้งานยากเป็นเท่าทวี เพราะไหนจะต้องรักษาศรัทธาคนดูต่อหนังและตัวละคร Frozen อันเป็นที่รัก ไหนจะต้องทำเพลงประกอบภาพยนตร์ให้ได้มาตรฐานเหมือนเดิม ที่สำคัญคือการหาเรื่องราวที่ใช่สำหรับการต่อลมหายใจให้ เอลซ่า และ อันนา กลับมาโลดแล่นบนจออีกครั้ง และก็ถือว่าโชคดีที่ความตั้งใจในการบ่มเพาะเรื่องราวและคุณภาพในการผลิตเกิดเป็นภาคต่อที่ถึงพร้อมด้วยความบันเทิงแบบจัดเต็มให้แฟนคลับได้ฟินกันทั้งเรื่องแบบนี้
สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ การที่ผู้สร้างก็รู้แหละว่าทำยังไงก็คงไม่ได้ดีกว่าภาคแรกอีกแล้ว ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาโฟกัสเลยคือการหาสูตรสำเร็จที่แฟน ๆ น่าจะชอบประหนึ่งไปนั่งอ่านรีวิวจากคนดูแล้วลิสต์มาเขียนบทเลย เริ่มจากการให้ เอลซา ปล่อยพลังมากขึ้น ซึ่งคราวนี้คุณเธอก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรอีกแล้วแถมยังมีโอกาสได้ปล่อยนำ้แข็งกันแบบ ฮีโรค่ายมาร์เวลยังอายม้วนต้วน ตั้งแต่ทอดสะพานน้ำแข็งบนทะเลที่เราได้เห็นตัวอย่างแล้ว เธอยังตะบี้ตะบัน “แช่แข็ง” มันทุกอย่างที่ขวางหน้าทั้ง ไฟป่า ทั้ง “ปั้นน้ำเป็นตัว” ด้วยตรรกะ “น้ำมีความทรงจำ” เพื่อให้เห็นอดีตและไขปริศนา ไปจนถึงตอนจบที่…เอ่อ… (เล่าไม่ได้เดี๋ยวสปอยล์ เอาเป็นว่ามันก็เกี่ยวกับเรื่องแช่แข็งนี่ด้วยละกันครับ 555) หรือกระทั่ง โอลาฟ
ที่คราวนี้ก็มีบทบาทมากขึ้น แถมเรายังใช้คำว่าขโมยซีนได้ลำบากเหลือเกิน เพราะเหมือนบทเขียนมาให้ซีนนางแบบจงใจมาก ซึ่งตรงนี้ถ้าใครชื่นชอบโอลาฟ ก็คงฟินลึ่มกันเลยทีเดียว ทั้งมีเพลงที่น่าจะฮิตต่อไปอย่าง When I am older หรือ Something never change ที่ร้องร่วมกับตัวละครอื่น ๆ ซึ่งก็ต้องยอมรับในเสน่ห์การพากย์และร้องเพลงของ จอช แกด ที่ทำให้เจ้ามนุษย์หิมะเป็นขวัญใจคนดูได้ โดยมุกเด็ดภาคนี้คือมุก “ความเดิมตอนที่แล้ว” ที่ต้องยอมในความ”กาว”ของคนเขียนบทจริง ๆ และถ้ายังคิวต์ไม่พอ ภาคนี้ยังเพิ่มน้อง “จิ้งเหลนไฟ” ที่ออกแบบได้น่าเอ็นดูแบบอยากกลับไปกอดจิ้งจกที่บ้านมาเรียกเสียง “งุ้ย” กันลั่นโรงแน่นอน