รีวิว อนิเมชั่น Bastard!!
รีวิว อนิเมชั่น Bastard!! การคืนชีพให้การ์ตูนมังงะแนวฮาเร็มแฟนตาซีสู่การเป็นซีรีส์อนิเมชั่น
ในปัจจุบันนี้สังคมให้การยอมรับและเปิดกว้างในการรับชมอนิเมชั่นหรือการอ่านการ์ตูนมังงะจากฝั่งญี่ปุ่นมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้การ์ตูนบางประเภทที่ไม่เคยได้รับการยอมรับในอดีตหรือถูกมองว่าเป็นการ์ตูนที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ์ตูนแนวฮาเร็มที่สมัยก่อนนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับเด็ก ตอนนี้มันกลับกลายเป็นสื่อที่เด็กสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายแถมยังไม่มีใครเคร่งเครียดเหมือนกับแต่ก่อนอีกต่อไปแล้วด้วย
ถึงอย่างไรในยุค 90 ก็ยังมีการ์ตูนมังงะอยู่เรื่องหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามแถมยังเป็นแนวแอ็คชั่นแฟนตาซีฮาเร็มอีกด้วย นั่นก็คือการ์ตูนมังงะเรื่อง BASTARD!! ใครที่เกิดทันในยุคนั้นชื่อว่าน่าจะเคยผ่านหูผ่านตามาก่อนอย่างแน่นอนเนื่องจากมันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในตอนนี้ทาง NETFLIX ได้หยิบนำเอาการ์ตูนเรื่องนี้มาคืนชีพใหม่อีกครั้งในรูปแบบของซีรีส์อนิเมชั่นที่จะเล่าเรื่องราวการ์ตูนที่เรารักในรูปแบบงานภาพเคลื่อนไหว คนที่เคยอ่านการ์ตูนเรื่องนี้มาก่อนจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่นำเอาการ์ตูนเก่าที่เคยได้รับความนิยมมาก่อนมาสร้างใหม่อีกครั้งให้แฟนคลับที่ให้คิดถึงมากๆ ได้รับชมให้หายคิดถึง แต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องในยุคสมัยนั้นไม่ได้มีความใกล้เคียงกับยุคสมัยใหม่เลยแม้แต่น้อยจึงทำให้อนิเมชั่นเรื่องนี้มีความน่ากังวลตรงที่รูปแบบการเล่าอาจจะออกมาค่อนข้างเชย หลายคนเลยกำลังอยู่ในช่วงการตัดสินใจว่าควรจะรับชมอนิเมชั่นเรื่องนี้ดีหรือไม่หรือจะปล่อยให้มันเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่ดีตลอดกาล วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับอนิเมชั่นเรื่องนี้ให้มากขึ้นกัน
อนิเมชั่น netflix แนะนํา
เรื่องราวในอนิเมชั่นเรื่อง BASTARD!!
BASTARD!! เป็นอนิเมชั่นที่เล่าถึงเรื่องราวในอนาคต 400 ปีหลังจากที่อารยธรรมยุคสมัยใหม่ได้ล่มสลายลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โลกของเราเต็มไปด้วยความโกลาหลมากมาย ผู้คนอาศัยดาบและเวทย์มนต์ในการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรและอำนาจ มีกองกำลังกบฏฝ่ายมืดที่กำลังวางแผนเพื่อปลุกชีพเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างขึ้นมาเพื่อเป็นการแผ่ขยายอำนาจและให้ตนเองสามารถยึดครองโลกเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวได้สำเร็จ
ถึงอย่างไรก็ตามโลกของเรายังมีเทวราชาทั้ง 4 ที่มีพลังมากพอที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำปกครองอาณาจักรได้สำเร็จสามารถต่อต้านเอาไว้ได้ตลอดมา จนกระทั่งในวันหนึ่งกองกำลังกบฏได้บุกเข้ามาโจมตีอาณาจักรของพวกเขานำทัพมาโดยจอมเวทย์ เพื่อปกป้องอาณาจักรของตนเองลูกสาวของปุโรหิตอย่างโนโตะโยโกะจึงตัดสินใจที่จะปลุกชีพพ่อมุกผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งแม้จะรู้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยวางแผนที่จะครอบครองโลกเอาไว้เช่นเดียวกัน
เธอได้สะกดวิญญาณของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่เอาไว้ในร่างของเพื่อนสมัยเด็กของเธอที่มีชื่อว่าเรนเรน และสิ่งเดียวที่จะสามารถคายมนต์สะกดได้สำเร็จคือจุมพิตแรกของสาวพรหมจรรย์ ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญกับอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาถึงเธอจึงตัดสินใจจุมพิตเขา และทันใดนั้นพลังงานที่แรงกล้าก็ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งอนาจักร
ความรู้สึกหลังรับชมอนิเมชั่นเรื่อง BASTARD!!
BASTARD!! เป็นอนิเมชั่นที่เราต้องบอกเอาไว้ตรงนี้ก่อนว่าต้นฉบับของมันในเวอร์ชั่นการ์ตูนมังงะนั้นก็เป็นการ์ตูนแนวฮาเร็มอยู่แล้วแม้ว่าจะมีการต่อสู้สุดแฟนตาซีก็ตาม เมื่อถูกนำเอามาสร้างใหม่ในรูปแบบอนิเมชั่นฉากเซอร์วิสที่อาจจะไม่เหมาะสำหรับเด็กเหล่านั้นก็ยังคงตามมาด้วย แถมทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมจนได้รับเรท 18 + เพราะมีครบไม่ว่าจะเป็นฉากเกี่ยวกับเพศหรือแม้แต่การต่อสู้ที่รุนแรงเลือดสาด ดังนั้นขอเตือนไว้ก่อนเลยว่ามันไม่ใช่อนิเมชั่นที่เหมาะสำหรับการรับชมในครอบครัวหรือสำหรับทุกเพศทุกวัย
จุดขายของอนิเมชั่นเรื่องนี้ชัดเจนว่าเป็นการแสดงฉากเซอร์วิสที่โชว์เนื้อหนังมังสาของตัวละครหญิงที่นุ่งน้อยห่มน้อยตลอดทั้งเรื่อง ไม่เพียงเท่านั้นยังมีฉากเกี่ยวกับเพศออกมาให้เห็นเป็นเรื่องปกติตลอดทั้งเรื่อง มีฉากที่ทำให้เข้าใจได้ว่าตัวละครกำลังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอยู่ออกมาเป็นประจำ ผู้หญิงถ้าทุกคนในอนิเมชั่นเรื่องนี้จะถูกพระเอกลวนลามแทบทุกคนตั้งแต่เจ้าหญิงไปจนถึงคู่ต่อสู้เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีประเด็นการเชิดชูคุณค่าของสาวบริสุทธิ์โดยผู้ชายในเรื่องนั้นพยายามที่จะเปิดซิงตัวละครผู้หญิง ดังนั้นเนื้อหาจึงไม่เหมาะสมเลยแม้แต่น้อย
การที่ NETFLIX นำเอาการ์ตูนเรื่องนี้มาสร้างเป็นอนิเมชั่นก็เหมือนกับการนำเอาการ์ตูนใต้ดินยกขึ้นมาไว้บนดินอย่างชัดเจน และแน่นอนว่าการเป็นการ์ตูนมังงะใต้ดินมันจึงทำออกมาเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของเด็กในยุคนั้นโดยเฉพาะโดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องความสมจริงสมจังหรือความเป็นมาเป็นไปเลยแม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงพอมีข้อดีอยู่บ้างก็คือฉากการต่อสู้ที่ใส่มาค่อนข้างเยอะ แม้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงเลือดสาดก็ตาม งานภาพที่ทำออกมานั้นถือว่าสวยงามและมีความไหลลื่นไม่มีจุดไหนที่ดูแล้วรู้สึกสะดุดแต่อย่างใด มีการถอดแบบตัวละครมาจากในการ์ตูนแบบแทบจะไม่มีอะไรผิดเพี้ยน
ตัวอย่างอนิเมชั่น BASTARD!!
รีวิวอนิเมชั่น BASTARD!! บางส่วนจาก beartai และ themacho
Bastard!! จะฉายทาง Netflix มีทั้งหมด 24 ตอน แบ่งออกเป็น 2 ช่วงด้วยกัน 13 ตอนแรกจะฉายวันที่ 30 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2022 และอีก 11 ตอน จะตามมาภายในปีนี้
Bastard!! เปิดตัวกับนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ Weekly Shonen Jump ปี ค.ศ. 1988 ลงเรื่อยมาอย่างต่อเนื่องก่อนจะย้ายมานิตยสารการ์ตูนรายเดือน Ultra Jump ปี ค.ศ. 2001 มีฉบับรวมเล่น 27 เล่ม ในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2012 ทำยอดขายทั้งหมดไปกว่า 30 ล้านเล่ม มีการตีพิมพ์เรื่องนี้ในต่างประเทศด้วย ในประเทศไทยลิขสิทธิ์ของสยาม อินเตอร์ คอมิกส์
Bastard!! เคยอนิเมะ OVA มาก่อน 6 ตอนเมื่อปี ค.ศ. 1992-1993 ผลิตโดย Geneon Entertainment ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Pioneer
themacho
Bastard!! อสูรร้ายจอมราชันย์ ถือว่าเป็นการ์ตูนขายดีติด Top 50 ตลอดกาลของประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะการ์ตูนเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องแรกๆ ที่มีฉากเซอร์วิสเอาใจแฟนการ์ตูนด้วยภาพมนุษย์ ,ปีศาจ และเทพสาวๆ แบบติดเรท 18+ เรียกว่าเป็นแนวแฟนตาซีฮาเร็มเลยก็ว่าได้ ฝั่งญี่ปุ่นนิยามแนวการ์ตูนเรื่องนี้ว่าเป็นแนว Heavy Metal, Dark Fantasy ด้วยสไตล์การแต่งตัวของตัวละครต่างๆ เห็นแล้วเราอาจจะนึกถึงวงดนตรีร๊อคในช่วงยุค 80-90s ได้เลย
ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 1988 ผ่านนิตยสารรายสัปดาห์ Weekly Shonen Jump แล้วถูกรวมเล่มมาแล้วในเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่น และไทย 27 เล่มเท่ากัน มาถึงเล่มสุดท้ายตอนปี 2016 ซึ่งยังไม่จบนั่นเอง
ทั้งเรื่องและภาพ เป็นผลงานของ Hagiwara Kazushi ซึ่งเริ่มต้นอาชีพนักเขียนการ์ตูนโดยเป็นผู้ช่วยของ Matsumoto Izumi (ผู้วาด Orange Road) โดยเขามีผลงานหลักเพียงเรื่องเดียว คือ Bastard!! (อสูรร้ายจอมราชันย์) นี่แหละ ซึ่งแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานเรื่องนี้ก็มาจากความชอบในดนตรีแนว Heavy Matal และเกม Dungeons & Dragons จะสังเกตุได้ว่าชื่อตัวละครในเรื่องหลายๆ ตัวก็มาจากวงดนตรีร๊อคในยุคนั้นด้วย
แถมยังมีความอินดี้ของตัวเอง คือ เขียนไปยาวแล้วย้อนกลับมาวาดตอนแรกใหม่ เพราะคนวาดมาทดลองใช้ Photoshop วาดแทนการวาดลงกระดาษแบบเดิม ทำให้กลายเป็นเนื้อเรื่องเดิมแต่วาดใหม่ให้สวยขึ้น ส่วนคนอ่านก็มีงงว่าทำไมไม่เขียนให้จบแทน