รีวิว อนิเมชั่น APOLLO 10½
รีวิว อนิเมชั่น APOLLO 10½ ภาพยนตร์อนิเมชั่นที่จะพาคุณย้อนกลับไปในช่วงยุค APOLLO 11
ทราบหรือไม่ว่ามนุษย์ของเรานั้นเดินทางไปยังอวกาศได้สำเร็จโดยเฉพาะการเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์ของยานอพอลโล 11 เกิดขึ้นจากสงครามเย็นระหว่างอเมริกาและรัสเซีย ในช่วงเวลานั้นทั้งอเมริกาและรัสเซียมีความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองรอบด้านให้มีความเหนือกว่าอีกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการต่อสู้หรือแม้แต่เทคโนโลยีทางอวกาศก็ตาม ในตอนแรกรัสเซียดูเหมือนว่าจะเป็นฝ่ายขึ้นนำในด้านของเทคโนโลยีอวกาศเพราะพวกเขาสามารถสร้างนวัตกรรมออกมาได้มากมาย แต่สุดท้ายสหรัฐอเมริกาก็ได้เปิดภาพช็อคโลกออกมานั่นก็คือการที่นีล อามสตรองได้กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จนั่นเอง
แม้ว่าหลังจากนั้นจะมีทฤษฎีสมคบคิดออกมามากมายว่ามนุษย์ไม่เคยขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์เพราะว่าธงปลิวไสวท่ามกลางสภาวะไร้น้ำหนักบนอวกาศหรือแม้แต่เลขตลาดที่อยู่บนก้อนหินก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องยอมรับว่าสงครามเย็นในช่วงนั้นได้ส่งผลให้เทคโนโลยีเดินหน้าแบบก้าวกระโดดเหมือนกับทุกวันนี้ และการเหยียบดวงจันทร์ในครั้งนั้นก็ได้ปลุกความฝันของเด็กในยุคนั้นหลายต่อหลายคนเลยทีเดียว
อย่างเช่นในภาพยนตร์อนิเมชั่นที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ก็คือ APOLLO 10½ เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวของเด็กที่เติบโตมาในยุคของการแข่งขันเทคโนโลยีบนอวกาศ ผ่านเด็กชายคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความฝันหลังจากอเมริกาส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จ ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือเป็นการถ่ายทำชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่มีอายุ 12 ปีและเติบโตขึ้นมาตามเวลาจริงในปัจจุบัน เป็นไอเดียที่แปลกใหม่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
ภาพยนตร์ หรือ อนิเมชั่น เกี่ยวกับอวกาศ
เรื่องราวในภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง APOLLO 10½
APOLLO 10½ เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่จะพาเราย้อนเวลากลับไปในช่วงยุค 60 เป็นช่วงเวลาของสงครามเย็นที่สหรัฐอเมริกาและรัสเซียกำลังพยายามแข่งขันกันทางเทคโนโลยีอย่างหนักในทุกด้านโดยเฉพาะในด้านอวกาศ ในช่วงเวลานั้นจึงได้มีภารกิจที่อเมริกาต้องการจะส่งคนขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ให้สำเร็จเป็นครั้งแรกของมนุษยชาติ
มีเด็กชายคนหนึ่งวัย 10 ปีที่ครอบครัวอาศัยอยู่ในเมืองฮิวสตันซึ่งเป็นที่ตั้งขององค์กรนาซ่าได้รับการคัดเลือกนำตัวมาปฏิบัติภารกิจลับครั้งยิ่งใหญ่ในโครงการ APOLLO 10 ครึ่ง มันคือการทดลองส่งมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ก่อนโครงการอะพอลโล 11 ที่นีล อาร์มสตรองสามารถขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
โดยเรื่องราวที่เล่านั้นจะเป็นการผสมผสานจินตนาการเกี่ยวกับอวกาศของเด็กร่วมไปกับการเกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จริงในช่วงเวลาการเกิดปฏิบัติการ APOLLO 11 ในช่วงเดือนกรกฎาคม 1969 เหมือนกับเขานั้นได้เข้าร่วมเป็นนักบินอวกาศลับขององค์กร NASA เพื่อทดสอบยาน APOLLO 10 ครึ่ง เนื่องจากทางองค์กรนาซ่าเกิดข้อผิดพลาดทำจรวดอวกาศไซส์เล็กที่มีแต่เด็กที่สามารถเข้าไปนั่งได้ เรื่องราวของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปต้องติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง APOLLO 10½
APOLLO 10½ เป็นภาพยนตร์ที่หากใครก็ตามเกิดทันในยุค 60 แล้วแล้วก็จะต้องรู้สึกอินตามได้อย่างแน่นอน เพราะบรรยากาศและการเล่าเรื่องจะพาเราย้อนกลับไปในปี 1969 ซึ่งเป็นปีที่เกิดการปฏิบัติการ APOLLO 11 ความแตกต่างของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการเดินทางไปยังดวงจันทร์เป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น เนื้อเรื่องจริงเป็นการเล่าถึงเรื่องราวประสบการณ์ของเด็กในยุคนั้นเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเรื่องที่เด็กชายถูกชวนให้ไปเข้าร่วมโครงการ ก่อนที่จะมีการวกกลับมาบอกว่าให้ฟังเรื่องราวชีวิตของตัวเองก่อน หลังจากนั้นภาพยนตร์ก็ทำการใช้เสียงบรรยายประกอบภาพเล่าเรื่องราวเกือบชั่วโมง ให้บรรยากาศแบบ RETRO OLD SCHOOL ได้เป็นอย่างดี
โดยการบอกเล่าเรื่องราวจะเล่าตั้งแต่เด็กในยุคนั้นใช้ชีวิตยังไงกัน เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายไม่ว่าจะเป็นการได้สัมผัสกับโทรศัพท์แบบกด การได้เล่นเครื่องดนตรี เกมกระดาน เข้าโรงหนังแบบ DRIVE IN การปั่นจักรยาน หรือแม้แต่รายการโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น แต่ในส่วนของเรื่องราวอวกาศก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว สามารถเก็บรายละเอียดมากมายมาเล่าได้อย่างสนุกสนานและลงตัว
ส่วนของงานภาพอนิเมชั่นมันไม่ได้เป็นงานภาพแบบ 3 มิติตามแบบฉบับอนิเมชั่นจากฝั่งตะวันตกแต่อย่างใด แต่เป็นงานภาพแนว ROTO SCOPE นั่นก็คือการวาดภาพตามต้นฉบับซึ่งมีการนำเอานักแสดงจริงมาร่วมแสดงด้วยจากนั้นก็ทำการวาดภาพซ้อนทับให้กลายเป็นอนิเมชั่น มันจึงเป็นงานภาพที่มีสวยงามแต่แปลกใหม่ไม่น้อย คนที่ชอบก็ชอบไปเลยแต่คนที่ไม่ชอบก็อาจจะไม่ชอบไปเลยเช่นเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตามจุดด้อยของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการเล่าถึงเรื่องราวของชีวิตเด็กอเมริกาในยุค 60 ซึ่งสำหรับคนไทยแล้วถือว่าค่อนข้างห่างไกลแถมยังใส่มาเป็นจำนวนมากจนทำให้เรารับชมไปแล้วก็อาจจะไม่รู้สึกอินได้ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้เกิดมาทันในยุค APOLLO 11 ว่ามันมีความน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหนเพราะเด็กในยุคนี้เกิดโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีอวกาศเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว นอกจากนี้ในช่วงที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอวกาศก็มีค่อนข้างน้อยอีกด้วยทำให้มันค่อนข้างน่าเสียดายที่เราไม่ได้สัมผัสบรรยากาศของอวกาศสมกับชื่อเรื่องเท่าที่ควร
ตัวอย่างอนิเมชั่น APOLLO 10½
รีวิวอนิเมชั่น APOLLO 10½ บางส่วนจาก playinone
หนังแอนิเมชั่นที่เล่าเรื่องความฝันของเด็กในช่วงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อะพอลโล 11 ดูเพลินๆ สนุกในช่วงภารกิจอวกาศ แต่ในช่วงชีวิตส่วนตัวค่อนข้างน่าเบื่อเพราะไกลเกินตัวไปมาก และก็ยังกินเวลาของหนังมากไป จนเบียดบังเรื่องอวกาศเหลือน้อยมาก แต่โดยรวมก็ยังเป็นหนังที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์อะพอลโล 11 ในมุมมองเด็กที่แปลกใหม่ดีมากเหมือนกัน
Apollo 10½: A Space Age Childhood วัยเด็กยุคอวกาศ หนังแอนิเมชั่น Netflix เรื่องราวความฝันของเด็กคนหนึ่งในช่วงเวลาประวัติศาสตร์อเมริกาส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ในโครงการอะพอลโล หนังแอนิเมชั่นฝรั่งจาก Richard Linklater ผู้สร้างหนัง Boyhood ที่ถ่ายทำเด็กคนหนึ่ง 12 ปีเติบโตขึ้นมาตามเวลาจริง ซึ่งเป็นไอเดียที่แปลกประหลาดมากที่สุดเรื่องหนึ่งของวงการภาพยนตร์เลย มาคราวนี้เจ้าตัวก็หยิบจับไอเดียจากประสบการณ์ชีวิตวัยเด็กของตัวเองมาเล่าในยุคที่อเมริกากำลังมีโครงการอวกาศ “อะพอลโล” เพื่อไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก โดยมีจุดประสงค์หลักคือแข่งเอาชนะสหภาพโซเวียตให้ได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ได้กลายมาเป็นประวัติศาสตร์ด้านอวกาศครั้งสำคัญของโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ตัวหนังเล่าถึงเด็กน้อยคนหนึ่งวัย 10 ขวบ (ให้เสียงโดย Zachary Levi ที่เล่นชาแซม) ที่มีครอบครัวอยู่ที่เมืองฮิวสตัน ที่ตั้งของ Nasa และเขาได้ถูกนำตัวมาทำภารกิจลับโครงการอะพอลโล 10 ครึ่ง ก็คือก่อนที่อะพอลโล 11 ที่ นีล อาร์มสตรอง ไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก ซึ่งเรื่องราวก็จะเป็นแนวจินตนาการด้านอวกาศของเด็กคนนี้ร่วมไปกับประวัติศาสตร์จริงของช่วง อะพอลโล 11 (16 กรกฎาคม ค.ศ. 1969) โดยเสมือนเขาได้ไปร่วมเป็นนักบินอวกาศลับของนาซ่าเพื่อทดสอบยาน 10 1/2 ที่ทางนาซ่าทำผิดพลาดเป็นไซส์เล็กมีแต่เด็กเข้าไปนั่งได้ ซึ่งตัวเรื่องก็ดำเนินไปในช่วงเวลาสั้นๆ ของปี 1969 แล้วไปจบที่เหตุการณ์เหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกตามที่ทุกคนรู้ๆ กัน
แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้แปลกออกไปก็คือ เรื่องอวกาศที่ว่าเหมือนเป็นแค่ส่วนประกอบเรื่องราวเท่านั้น เพราะตัวเรื่องจริงๆ เป็นการเล่าประสบการณ์วัยเด็กยุคนั้นมากกว่า คือตัวเรื่องเปิดมาว่าถูกชวนให้เข้าไปโครงการตั้งแต่เริ่มเรื่อง แต่กลับวกกลับมาเล่าใหม่ในทันทีว่ามาฟังเรื่องของชีวิตผมก่อนดีกว่า จากนั้นตัวหนังก็ร่ายยาวโดยใช้เสียงบรรยายประกอบภาพถึงเกือบชั่วโมงเต็มๆ เป็นแนวเรโทรโอลสคูลบอกเล่าประสบการณ์ที่เด็กอเมริกาในฮิวสตันสมัยนั้นใช้ชีวิตกันยังไง ซึ่งก็มีรายละเอียดยิบย่อยมากมายเต็มไปหมดตั้งแต่โทรศัพท์แบบกดครั้งแรกถูกนำไปใช้เป็นเครื่องดนตรีกดเล่นของเด็กๆ
การเล่นเกมกระดาน ปั่นจักรยาน โรงหนังไดร์ฟอิน รายการทีวีที่เด็กชื่นชอบ หนังดัง 2001 space odyssey เพลงฮิต ฯลฯ ซึ่งเยอะสุดๆ และยาวมากถึงเกือบ 1 ชั่วโมงเต็มๆ ตัวเรื่องถึงจะวกกลับไปเรื่องเข้านาซ่าอีกครั้ง ซึ่งจุดนี้แหละที่เราคนไทยที่ถึงแม้จะโตมาในยุคนั้นด้วยก็ตามก็ยังไม่อินกับอะไรแบบนี้ได้แน่ๆ เพราะมันค่อนข้างไกลเกินตัวแบบไม่รู้จักแทบทั้งนั้น สิ่งที่หนังเรื่องนี้เล่าไม่ใช่แนวเรโทรแบบป๊อบคัลเจอร์ที่ทั่วโลกได้รับอิทธิพลตามๆ กันมาเลย มีน้อยมากไม่กี่เรื่องจริงๆ ที่อาจจะรู้สึกว่ามีแบบนี้ในไทย (อย่างพวกเด็กสร้างจรวดของเล่นเอง) ดังนั้นที่คะแนนเรื่องนี้ดีถึงดีมากในหมู่นักวิจารณ์ฝรั่งก็เพราะเป็นประสบการณ์ตรงร่วมยุคสมัยของอเมริกาโดยตรงนั่นเอง