รีวิว หนัง Wonder Woman 1984
รีวิว หนัง Wonder Woman 1984 การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 นั้นไม่ได้เพียงแค่ส่งผลในด้านของธุรกิจและการใช้ชีวิตของมนุษย์เท่านั้นแต่มันยังส่งผลถึงอุตสาหกรรมการบันเทิงโดยเฉพาะภาพยนตร์ ทำให้ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมานี้เป็นปีที่มีภาพยนตร์ออกฉายน้อยที่สุด ไม่เพียงเท่านั้นด้วยวิถีชีวิตจากนี้ยังทำให้การรับชมภาพยนตร์ในโรงหนังช่วงแรกที่เชื้อไวรัสแพร่กระจายนั้นไม่ได้รับอนุญาตอีกด้วย
อุตสาหกรรมภาพยนตร์นั้นจึงกลายเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ส่งผลให้มีภาพยนตร์หลายเรื่องทำการเลื่อนคิวฉายออกไปโดยที่ไม่มีกำหนด ถึงแม้ว่าบางเรื่องจะถ่ายทำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตามแต่ยังอยู่ในขั้นตอนการตัดต่อหรือทำ Visual effects ซึ่งค่อนข้างจะยากลำบากเนื่องจากพนักงานนั้นต้องทำการ work from home
แต่โชคดีที่ช่วงปลายปีนั้นในหลายประเทศเริ่มมีการใช้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสลง และทำให้ผู้คนสามารถรับชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ได้ตามปกติแต่มีการเว้นระยะห่างของที่นั่งให้กว้างมากขึ้น ทำให้ภาพยนตร์หลายเรื่องนั้นได้มาฉายในช่วงปลายปีพอดี
และหนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์ภาคต่อเกี่ยวกับฮีโร่หญิงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่าง Wonder Woman 1984
ที่กว่าจะปล่อยภาคต่อมาก็ปล่อยให้แฟนนั้นรอคอยเป็นเวลาถึง 3 ปี เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่สามารถออกฉายในโรงทันในปี 2020
แต่วิกฤตนี้ก็กลายเป็นโอกาสเช่นเดียวกันเพราะการที่เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มีกี่เรื่องที่ฉายภายในปี 2020 ที่ผู้คนนั้นต่างโหยหาการรับชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์นั้น ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ และส่งผลดีในด้านรายได้ในที่สุด
หลังจากที่ภาคแรกไดอาน่าของเรานั้นต้องสูญเสียคนรักอย่างสตีฟไปจากการสละชีวิตเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ แต่ในครั้งนี้เขาก็ยังคงสามารถกลับมาอยู่เคียงข้างเธอได้อีกครั้งพร้อมทั้งช่วยกันรับมือกับวายร้ายคนใหม่อย่างบาบาร่าและแม็กซ์ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นสามารถติดตามรับชมได้ในภาพยนตร์
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Wonder Woman 1984
Wonder Woman 1984 จะเล่าถึงเรื่องราว 60 ปีให้หลังจากการที่ไดอาน่านั้นได้ช่วยเหลือโลกให้พ้นจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สำเร็จ แม้ว่าการยุติสงครามในครั้งนั้นจะแลกมาด้วยชีวิตของคนรักของเธออย่างสตีฟที่ใช้ตัวเองเป็นระเบิดพลีชีพเพื่อหยุดยั้งสงครามก็ตาม มันเป็นเหตุการณ์ที่สามารถสร้างบาดแผลในใจของเธอแบบไม่เลือนลาง
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปจนก้าวเข้าสู่ยุค 80 เธอนั้นก็ยังคงคิดถึงชายผู้เป็นที่รัก แต่การอยู่ในโลกมนุษย์เป็นเวลานานนั้นก็ทำให้เธอได้เรียนรู้การใช้ชีวิตและไม่ได้เป็นสาวอเมซอนที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาเหมือนในภาคแรกอีกต่อไป ตอนนี้เธอทำอาชีพเป็นนักโบราณคดีที่ซ่อนเรื่องการเป็นวันเดอร์วูแมนเอาไว้เบื้องหลัง
อาชีพดังกล่าวทำให้เธอนั้นได้รู้จักกับดร.บาบาร่า เพื่อนร่วมงานที่มักจะถูกคนอื่นๆ ในที่ทำงานมองข้ามอยู่เสมอ แต่ทั้งสองนั้นก็ได้พบเข้ากับพลังบางอย่างที่จะทำให้ชีวิตของพวกเธอเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือและมันก็ทำให้บาบาร่านั้นก้าวเข้าสู่ด้านมืดในที่สุด
ไม่เพียงเท่านั้นพลังนี้ยังทำให้คนรักของเธอที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อ 60 ปีที่แล้วสามารถกลับมายืนเคียงข้างเธอได้อีกครั้ง นักเรียนเกี่ยวข้องกับอำนาจของนักธุรกิจที่กุมอำนาจด้านการค้าและทะเยอทะยานจนไม่สนว่าตนเองจะนำพามาซึ่งหายนะสู่โลกอย่างแม็กซ์
ในช่วงที่โลกนั้นตกอยู่ในยุคสงครามเย็นที่สหรัฐอเมริกาและรัสเซียนั้นต่างก็พยายามที่จะสะสมอาวุธที่พลังทำลายล้างสูงอย่างอาวุธนิวเคลียร์ ยิ่งทำให้โลกนั้นตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้น และมันยังกลายเป็นบทพิสูจน์สำคัญของไดอาน่าที่จะเติบโตและก้าวข้ามผ่านการสูญเสียในชีวิตไปให้ได้
ความน่าสนใจในภาพยนตร์เรื่อง Wonder Woman 1984
Wonder Woman 1984 เป็นภาพยนตร์ภาคต่อที่สามารถเรื่องราวต่อเนื่องออกมาได้อย่างลื่นไหลและเกี่ยวเนื่องกัน ทำให้คนที่เคยรับชมในภาคแรกมาแล้วนั้นมีความรู้สึกที่อยากจะรับชมภาคนี้เพื่อติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับไดอาน่า ว่าเธอนั้นเป็นอย่างไรหลังจากการยับยั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 จนทำให้ต้องสูญเสียคนรักไปตลอดกาล
เพราะต้องยอมรับว่าในภาค 1 นั้นไดอาน่าเป็นตัวละครที่สามารถทำให้ผู้รับชมหลงรักและเอาใจช่วยได้เป็นอย่างดี ด้วยความบริสุทธิ์ ใสซื่อ และความดีของเธอ แต่บทภาพยนตร์และเรื่องราวนั้นกลับทำให้เธอกลายเป็นหญิงสาวที่น่าสงสารยิ่งทำให้ผู้รับชมนั้นยิ่งเอาใจช่วยเธอมากขึ้นไปอีก
ที่สำคัญคือในภาคนี้ได้นำเอาตัวละครเก่าอย่างสตีฟที่ตายไปแล้วกลับคืนมาอีกครั้งด้วยพลังอำนาจที่ไม่ได้ส่งแต่ผลดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันจึงกลายเป็นข้อขัดแย้งภายในตัวไดอาน่าที่อาจจะต้องตัดสินใจในช่วงท้ายของภาพยนตร์ ซึ่งจะสามารถสร้างความดราม่าได้เป็นอย่างดี
ด้วยเนื้อเรื่องในภาคนี้ที่ดำเนินอยู่ในช่วงสงครามเย็นมันจึงจะไม่ได้มีฉากบู๊อลังการเหมือนในภาค 1 ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับสงครามโลก แต่จะเน้นการเล่าเรื่องราวการเติบโตของไดอาน่าและข้อขัดแย้งภายในจิตใจของเธอเกี่ยวกับพลังพิเศษที่ทำให้คนรักของเธอกลับคืนมามากกว่า
ดังนั้นในมุมมองของบางคนที่เข้ามารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้โดยคาดหวังเอาไว้ว่าเป็นภาพยนตร์ฮีโร่ที่จะต้องมีฉากบู๊ค่อนข้างเยอะ ก็อาจจะรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างจะราบเรียบเมื่อเทียบกับภาค 1 แต่อย่างไรก็ตามหากคุณนั้นเคยติดตามรับชมภาพยนตร์ในภาคแรกมาก่อน เราขอแนะนำให้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้เพราะมันจะช่วยให้คนนั้นได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับไดอาน่ามากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างหนัง Wonder Woman 1984
หนัง Wonder Woman 1984 วันเดอร์ วูแมน 1984
นับว่าเป็นผลงานภาคต่อที่สร้างความกดดันให้กับผู้กำกับ แพตตี้ เจนกินส์ หนักหนาพอดู เพราะภาคแรกเมื่อปี 2017 สร้างสถิติไว้มากมาย ทั้งเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรหญิงที่ทำรายได้มากสุดเป็นประวัติการณ์ ตัวเลขจบที่ 822 ล้านเหรียญ จุดความหวังครั้งใหม่ให้กับดีซีคอมิกและวอร์เนอร์ ที่เพิ่งชอกช้ำมากับ Suicide Squad หนังรวมวายร้ายจากจักรวาลดีซี ที่ทำรายได้ไม่เข้าเป้า เจอเสียงโขกสับจากบรรดานักวิจารณ์และคนดู Wonder Woman ยังสร้างอานิสงส์ลามมาถึงฝั่งมาร์เวล ให้กล้าเคาะไฟเขียวกับหนังซูเปอร์ฮีโรฝ่ายหญิงออกมาบ้าง ถือเป็นจุดกำเนิดให้เราได้เห็นขุ่นแม่ Captain Marvel ออกมาวาดลวดลายและตามด้วยหนังเดี่ยวของ Black Widow ที่เป็นซูเปอร์ฮีโรรายเดียวในประวัติศาสตร์เลยมั้งที่มีหนังภาคแยกของตัวเอง หลังจากที่เจ้าตัวได้ตายไปแล้วในเส้นเรื่องหลัก
สำหรับ Wonder Woman 1984 นั้นมองเห็นได้ชัดตั้งแต่ชื่อเรื่องว่า แพตตี้ เจนกินส์ พยายามที่จะหาช่องทางการนำเสนอที่แตกต่างจากขนบของหนังซูเปอร์ฮีโร ด้วยการกำหนดให้เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1984 นำจุดเด่นของยุค 80s มาใช้เป็นฉากหลังได้อย่างชัดเจน ยังพาตัวตนของ ไดอานา พรินซ์ ให้เข้าสู่วิถีชีวิตเหมือนกับซูเปอร์ฮีโรอีกหลายราย ที่มีฉากหน้าในการเป็นมนุษย์เดินดินกินเงินเดือน ในภาคนี้ไดอานา ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่โบราณคดีในพิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน ในหนังเล่าเรื่องให้พอเข้าใจได้ว่าเธอทำงานที่นี่มาสักระยะหนึ่งแล้ว เธอได้รู้จักกับเจ้าหน้าที่โบราณคดีหน้าใหม่ ดร.บาร์บารา มิเนอร์วา ดอกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญทางวัตถุโบราณ ทั้งคู่ช่วยกันวิเคราะห์หาที่มาของ ก้อนหินลึกลับจากชนเผ่ามายา ด้วยความบังเอิญทำให้ทั้งคู่พบว่า หินศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้มีพลังวิเศษสามารถขอพรอะไรก็ได้แล้วคำขอนั้นจะเป็นจริง แต่ก็มี แมกซ์เวลล์ ลอร์ด นักธุรกิจจอมฉ้อฉลที่ตามล่าหินศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้มาอย่างยาวนานได้ใช้อุบายหลอกล่อเอาหินศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้ไปครอบครองเพื่อสนองตัณหาให้ตัวเอง แล้วสร้างความปั่นป่วนให้กับโลก ทำให้วันเดอร์ วูเมน ต้องออกโรงจัดการและแก้ไขสถานการณ์วายป่วงนี้
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าหนังภาคนี้ยาวถึง 2 ชั่วโมง 31 นาที ความรู้สึกเมื่อดูจบ ตอบได้ทันทีว่ายาวเกินไป เนื้อหาความตื่นตาตื่นใจไม่ได้อัดแน่นสมกับระยะเวลาของหนัง หลายตอนสามารถตัดทอนให้กระชับลงได้ และฉากแอ็กชันจริง ๆ ก็มีเพียงแค่ 3 ฉากเท่านั้น ย้ำชัด ๆ เลยว่าแค่ 3 ฉาก แล้วไฮไลต์ส่วนใหญ่ก็นำมาขายในตัวอย่างหมดแล้ว ฉากไดอานาตอนยังเป็นเด็กที่ร่วมแข่งขันกีฬาสีตอนเปิดเรื่อง ฉากตะลุมบอนกับรถบรรทุกทหาร และฉากไคลแมกซ์ที่ต้องจัดการกับ 2 วายร้ายหลักของเรื่อง ไม่มีฉากโดดเด่นน่าประทับใจนอกเหนือจากที่เห็นในตัวอย่างหนัง กราฟความระทึกของภาคนี้ค่อนข้างราบเรียบตลอดความยาว 2 ชั่วโมงกว่า มีบางช่วงที่แผ่วพอจะทำให้วูบหลับไปได้ ชวนให้กังวลแล้วล่ะว่ากับการที่วอร์เนอร์มั่นอกมั่นใจกับภาคนี้มาก ถึงขนาดเพิ่มทุนสร้างจาก 120 ล้านในภาคแรก มาเป็น 200 ล้านในภาคนี้ จะได้กลับคืนมาสมน้ำสมเนื้อไหม
ปัญหาหลักที่พอชี้นิ้วได้ว่าเป็นข้อด้อย คือพิษสงของตัวร้ายในภาคนี้ แม้ว่าจะใส่มาถึง 2 รายพร้อมกันในภาคเดียวคือ ชีต้า ในร่างซูเปอร์วายร้ายของ ดร.บาร์บารา และ แมกซ์เวล ลอร์ด ที่ได้ เปโดร ปาสคาล นักแสดงเบอร์กลาง ๆ พอใช้ชื่อเรียกความสนใจได้มารับบท คริสเต็น วิก ดูเหมาะสมดีกับภาพลักษณ์ในแรกปรากฏตัวของ ดร.บาร์บารา มิเนอร์วา สาวเนิร์ดที่แต่งตัวเฉิ่ม เซ่อซ่า เป็นสาวนอกสายตาผู้คนที่ไม่มีใครให้ความสนใจ คริสเต็น มาจากสายหนังคอมเมดี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บทแนวนี้จึงเข้าทางเธอ แต่เมื่อบทกำหนดให้เธอปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นสาวเฉี่ยว ก็ถือว่าทางทีมเสื้อผ้าหน้าผมก็ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ดึงเสน่ห์ความเซ็กซี่ของเธอออกมาอย่างเห็นได้ชัด มาตายเอาร่างสุดท้ายตอนเป็น ชีต้า นี่ล่ะ โอ้ว!แม่เจ้า ฉันดูไม่ออกจริง ๆ ว่านี่คือเสือชีต้า นึกว่าตัวละครที่หลุดมาจาก Cats หนังมิวสิคัลฉาวโฉ่เมื่อปีที่แล้วนี่ ช่างไม่น่าเกรงขามทั้งภาพลักษณ์และพิษสง ไม่มีอาวุธเด็ดอะไรเลยนอกจากกงเล็บกับความเร็วเท่านั้น
พอจะพูดได้ว่าฉากที่ดีที่สุดในภาคนี้ก็คือฉากแข่งขันกีฬาของชนเผ่าอะเมซอน ตอนเปิดเรื่องนั่นล่ะ ที่ได้เห็นกลไก อุปกรณ์รูปแบบของการแข่งขันที่ดูแปลกตา เห็นได้ชัดว่าผ่านการทำการบ้านในการคิดสร้างสรรค์มาอย่างมาก เน้นย้ำว่าอย่าเข้าโรงช้าเด็ดขาด เพราะหนังเปิดเรื่องด้วยฉากนี้เลย
โดยรวมแล้วหนังอยู่ในระดับมาตรฐานของหนังซูเปอร์ฮีโร ให้ความบันเทิงได้พอประมาณ แต่ไม่สามารถพูดได้ว่านี่คือหนังซูเปอร์ฮีโรที่ สนุก จะด้วยปัญหาที่มาจากความพร่องด้วยฤทธิ์เดชพิษสงของตัวร้าย หรือสถานการณ์คับขันที่ตัวเอกต้องประสบ บวกกับความยาวที่เกินพอดี แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รู้สึกรื่นรมย์ได้ตลอดเรื่องก็คือความสวยระดับทะลุจอของ กัล กาด็อต นี่ล่ะ