รีวิว หนัง THE BLACK PHONE
รีวิว หนัง THE BLACK PHONE ภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่นำเสนอเรื่องราวแบบวินเทจ
ภาพยนตร์สยองขวัญนั้นอยู่กับมนุษยชาติมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่มีการริเริ่มอุตสาหกรรมภาพยนตร์ขึ้นมาเลยทีเดียว เรามีภาพยนตร์สยองขวัญให้รับชมตั้งแต่ยุคขาวดำมาจนถึงในยุคปัจจุบัน แต่ในช่วงเวลาที่ภาพยนตร์สยองขวัญได้รับความนิยมมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นในช่วงยุค 90 เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้เห็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญไม่ว่าจะเป็นเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติหรือแนวไล่เชือดออกมาให้ได้รับชมมากมาย แม้ว่าในช่วงหลังหนังเหล่านี้จะเสื่อมความนิยมลงไป แต่หลังจากระยะเวลาผ่านมาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปีก็มีคนคิดถึงไม่น้อยเลยทีเดียว ในตอนนี้เราจึงจะเห็นว่ามีการนำเอาภาพยนตร์แนวไล่เชือดหรือภาพยนตร์แนวสยองขวัญยุค 90 มาสร้างใหม่เต็มไปหมด
หนึ่งในนั้นก็คือภาพยนตร์เรื่อง THE BLACK PHONE เป็นภาพยนตร์จากฮอลลีวูดที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาค่อนข้างดีเลยทีเดียว เป็นการนำเอาภาพยนตร์สยองขวัญมาผสมเข้ากับภาพยนตร์แนวเขย่าขวัญออกมาได้อย่างลงตัว ประกอบกับสไตล์การเล่าเรื่องที่นำเสนอในรูปแบบ VINTAGE จึงมีความน่าสนใจไม่น้อยว่าการเล่าเรื่องราวแบบสมัยใหม่ผ่านงานภาพแบบยุค 90 นั้นจะออกมาเป็นอย่างไร
สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสนใจอีกอย่างก็คือผู้กำกับอย่าง SCOTT DERRICKSON ผู้กำกับภาพยนตร์ฮีโร่ MARVEL อย่าง DOCTOR STRANGE ที่หันมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้แทนที่จะไปกำกับภาพยนตร์เรื่อง DOCTOR STRANGE THE MULTIVERSE OF MADNESS โดยหยิบยกนำเอาเรื่องสั้นสยองขวัญที่ได้รับความนิยมมาขยายความและเล่าในรูปแบบภาพยนตร์แทนภายใต้ฉากหลังที่ย้อนกลับไปช่วงยุค 70 ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความหลอนทั้งในส่วนของเรื่องราวและการนำเสนอด้วย
หนังไล่ล่า ระทึกขวัญ
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง THE BLACK PHONE
THE BLACK PHONE เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวของเด็กชายวัย 13 ปีคนหนึ่งที่มีชื่อว่าชอว์ เขาเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไปที่มีความฉลาดหลักแหลมแต่เป็นคนขี้อายเลยพูดไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่ ในวันหนึ่งเขาโชคร้ายถูกคนลักพาตัวไปขังเอาไว้ในห้องใต้ดินเก็บเสียงแห่งหนึ่ง การแผดเสียงร้องของเขาไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด ไม่มีใครที่ได้ยินเสียงของเขาทั้งนั้นจากห้องเล็กๆ แห่งนี้
แต่สิ่งที่เขาเห็นข้างหน้าก็คือโทรศัพท์ไร้สัญญาณที่ติดอยู่บนผนัง มันส่งเสียงขึ้นมาอย่างเป็นปริศนา เขาจึงตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาและพบว่าเสียงที่ตนเองได้ยินนั้นเป็นเสียงของเหยื่อคนก่อนที่ถูกจับตัวมาเช่นเดียวกัน และเหยื่อเรานั้นก็ได้ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้นจะต้องไม่เกิดขึ้นกับเหยื่อคนล่าสุดอีกต่อไป
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง THE BLACK PHONE
THE BLACK PHONE เป็นภาพยนตร์ที่แกนหลักของมันไม่ใช่ภาพยนตร์แนวสยองขวัญเสียทีเดียวแต่จะเน้นความเขย่าขวัญมากกว่า โดยการสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกดดันและความน่ากลัวผ่านตัวละครมายังผู้รับชมได้เป็นอย่างดี เสียดายที่มีบางจุดที่ยังคงลืมเล่าและขาดการเติมเต็มไปบ้าง แต่ในส่วนของการปูทางเรื่องราวก็ถือว่าสามารถทำออกมาพอใช้ได้ โดยเฉพาะการสอดแทรกประเด็นสังคมและครอบครัวเข้ามา แต่การพาเราไปยังประเด็นที่ไม่สุดสักทางมันทำให้ผู้รับชมเหมือนทิ้งเอาไว้กลางทางหลายครั้งตลอดการรับชมเช่นเดียวกัน
โชคยังดีที่จังหวะการเล่าเรื่องยังไม่เสียรูปแบบแต่อย่างใดเพราะสุดท้ายแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังทำออกมาได้อย่างสนุกสนานบนพื้นฐานของความเป็นภาพยนตร์แนวสูตรสำเร็จ ในช่วงแรกอาจมีการปูเรื่องราวค่อนข้างยาวไปสักหน่อยและไม่มีอะไรแปลกใหม่จนทำให้หลายคนรู้สึกเบื่อ แต่หลังจากที่ภาพยนตร์เข้าสู่องค์ 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นเราจะได้สัมผัสกับความสนุกและความตื่นเต้นอย่างเต็มที่ เป็นการเล่าเรื่องราวจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งได้อย่างไหลลื่นไม่มีอะไรทำให้สะดุดได้เลย
ในส่วนของตัวละครนั้นอาจจะมีไม่มากมายแต่ภาพยนตร์ก็ยังไม่สามารถเล่าเรื่องราวเจาะลึกแต่ตัวละครได้อย่างเสมอกันเท่าที่ควร แม้แต่ตัวละครหลักอย่างเด็กที่ถูกลักพาตัวหรือแม้แต่มือฉุดเองก็ยังรู้จักเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น เหมือนกับภาพยนตร์ไม่ได้ต้องการให้เรารู้จักกับตัวละครเหล่านี้สักเท่าไหร่ เพียงแค่ต้องการจะนำเสนอสถานการณ์การเอาตัวรอดของเหยื่อและวัตถุประสงค์ของผู้ก่อเหตุว่าต้องการอะไรเพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามต้องยกความดีความชอบให้กับนักแสดงตัวหลักของเรื่องอย่างเมสัน เทมส์ นักแสดงเด็กที่พึ่งมาสวมบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว จากลักษณะภายนอกที่ยังสามารถพัฒนาต่อไปได้แล้วการแสดงของเขาก็ยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม นำเสนอตัวละครที่มีความนิ่งแต่เต็มไปด้วยอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้จึงจัดว่าเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญเขย่าขวัญที่เล่าผ่านลักษณะสไตล์วินเทจออกมาได้อย่างสนุกและมีอรรถรสที่ครบรสดี แต่องค์ประกอบหลายอย่างในภาพยนตร์นั้นไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรือทางออกมาได้สุดสักทาง การเล่าเรื่องราวยังมีจุดที่ทำให้รู้สึกชอบและไม่ชอบได้เช่นเดียวกัน เป็นภาพยนตร์ที่รับชมแล้วทำให้รู้สึกเหมือนกับอ่านนวนิยายของสตีเฟน คิงที่ไม่ได้มีผีหรือสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติแต่ก็สร้างความหวาดกลัวและความหลอนให้กับเราได้อย่างยอดเยี่ยม