รีวิว หนัง Stranger Things Netflix
รีวิว หนัง Stranger Things Netflix ซีรีย์ยอดนิยมบน netflix ที่จะพาคุณย้อนกลับไปในยุค 80
พอเข้าถึงช่วงยุคปัจจุบันกลายเป็นว่าคนส่วนใหญ่การกลับไปนึกถึงอดีตอย่างเช่นยุค 90 กันเป็นหลักอาจเป็นเพราะว่าคนที่เริ่มเติบโตมาในสายอาชีพต่างๆในยุคสมัยนี้มีช่วงเวลาวัยรุ่นอยู่ในช่วงยุค 90 ก็เป็นไปได้แม้ว่ายุค 90 จะเป็นยุคที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีมากมาย แต่ถ้าย้อนกลับไปอีกหน่อยในยุค 80 เราก็จะพบกับเสน่ห์ความคลาสสิคที่เริ่มได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในปัจจุบันเพราะผู้คนหันมานึกถึงเรื่องราวของตัวเองตอนเป็นเด็กกันมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ซีรีย์ netflix เรื่อง Stranger Things จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากรีย์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวสุดอัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยความสยองขวัญพร้อมกับฉากพื้นหลังในยุค 80 น่าจะทำให้ผู้ใหญ่ในยุคนี้หลายคนรู้สึกเหมือนกับว่าย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กไม่น้อยเลยทีเดียวในช่วงเปิดตัวมันไม่ได้รับความนิยมอะไรมากมาย แต่หลังจากที่ออกฉายไปได้ไม่นานซีรีย์เรื่องนี้ก็ได้รับความนิยมเป็นพลุแตก
จนกลายเป็นซีรีย์อีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบน netflix และมีการสร้างภาคต่อตามออกมามากมายและที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือสไตล์การนำเสนอของภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากมันมีความเก่าและความเท่ตามสไตล์ภาพยนตร์ของสตีเวนสปีลเบิร์กผสมผสานความเป็นไซไฟทิลเลอร์ให้บรรยากาศที่หลอนและสยองขวัญคล้ายกับนวนิยายของสตีเฟ่นคิง แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นผลงานของทั้งสองท่านที่กล่าวมา แต่อย่างใดมันจึงกลายมาเป็นซีรีย์ที่มีความแปลกใหม่อยู่บนฐานความนิยมเดิมของผู้รับชมอยู่แล้วนั่นเอง
เรื่องราวในซีรีย์เรื่อง Stranger Things
Stranger Things เป็นซีรีย์ที่จะพาเราย้อนกลับไปในยุค 80 ในเมืองเล็ก ๆ ภายในรัฐอินเดียน่าสหรัฐอเมริกาทุกคนต่างอาศัยกันอย่างสงบสุขเรื่อยมาจนกระทั่งในช่วงเวลาดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้นมาทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อเด็กชายที่มีชื่อว่าวิลได้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนาการหายตัวไปของเด็กชายนั้นทำให้ครอบครัวของเขารู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างมากทั้งแม่และพี่ชายเขานั้นพยายามเดินทางออกตามหาตัวเขาไปทั่วทั้งเมือง
แต่ไม่ว่าผู้คนจะพยายามตามหาเขามากแค่ไหนก็ตามก็ไม่มีใครหาเจอเลยแม้กระทั่งเบาะแสเนื่องจากเด็กชายนั้นหายตัวไปราวกับถูกลักพาตัวโดย UFO ทำให้เขานั้นไม่ได้ทันทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ให้คน ได้แก่ ตามต่อเลยแม้แต่น้อยในด้วยเหตุนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องมาลงมือเองรวมไปถึงผู้คนภายในเมืองที่ช่วยกันออกตามหาเด็กชายขณะเดียวกันแก๊งเพื่อนของเด็กชายอีก 3 คนก็ได้พบเข้ากับเด็กหญิงลึกลับคนหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนที่สามารถสร้างความแปลกใจ
ให้กับพวกเขาทั้งสามได้เป็นอย่างดีนั่นก็คือเด็กสาวคนนี้มีพลังลึกลับบางอย่างเหนือธรรมชาติ แต่เธอไม่ได้มาร้ายอย่างใดเธอมาดีและต้องการที่จะช่วยพวกเขาในการตามหาเพื่อนอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามเด็กทั้ง 3 คนนั้นก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะตามหาตัวเพื่อนที่หายไปให้พบและพยายามหาคำตอบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองของพวกเขากันแน่รวมไปถึงเด็กสาวที่มาช่วยพวกเขานั้นคือใครเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปเราต้องไปติดตามรับชมกันต่อในซีรีส์
ความรู้สึกหลังรับชมซีรีย์เรื่อง Stranger Things
Stranger Things เป็นซีรีย์ที่เรื่องราวแกนหลักของมันค่อนข้างที่จะซ้ำซากจำเจไม่น้อยเลยทีเดียวโดยเฉพาะหากคุณเป็นคนที่รับชมเรื่องราวแนวทริลเลอร์ไซไฟมาแล้วนักต่อนักหลายคนน่าจะเดาออกได้ในทันทีว่าเด็กหญิงลึกลับนั้นคือใครและมีจุดประสงค์อะไรด้วยซ้ำไปมันมีการผสมผสานกันระหว่างความนิยมอย่างเช่นเด็กที่มีพลังจิตสัตว์ประหลาดสุดลึกลับหรือการทดลองที่เป็นความลับ แต่อย่างไรก็ตามซีรีย์เรื่องนี้สามารถนำเสนอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและแตกต่างจากซีรีย์เรื่องอื่น
อย่างแน่นอนแม้ว่ามันจะมีแกนหลักของเรื่องที่คล้ายคลึงกันก็ตามมันเป็นการผสมผสานภาพยนตร์แนวเดียวกันเข้ามารวมกันเอาไว้ในเรื่องเดียวและเล่าใหม่ในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมมีเทคนิคการเล่ามากมายที่ทำให้เรารู้สึกสนใจและอยากรู้อยากเห็นตลอดเวลามีการนำเอาเรื่องราวไปผูกปมตาม แต่ละช่วงเวลาได้อย่างยอดเยี่ยมนักแสดงแต่ละคนไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ภายในเรื่องนั้นก็สามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะตัวนักแสดงเด็กที่แต่ละคนนั้นมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้เรานั้นสามารถทำได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรกแถมยังมีความสามารถในการแสดง
ในเรื่องราวโดยรวมมีความสมจริงมากยิ่งขึ้นเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมันเหมือนกับเราได้เห็นตัวเองอยู่กับเพื่อนจริงๆและอีกหนึ่งสิ่งที่จะไม่พูดไม่ได้เลยในซีรีย์เรื่องนี้ก็คือเพลงสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรานั้นรู้สึกย้อนยุคกลับไปในช่วงยุค 80 การเลือกเพลงมาประกอบในแต่ละช่วงเวลาการเล่าเรื่องนั้นสามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยมและมีความเข้ากันดีเป็นอย่างมากเมื่อมันผสมผสานเข้ากับเรื่องราวและการนำเสนอยิ่งทำให้ซีรีย์เรื่องนี้มีความครบรสมากยิ่งขึ้นไปอีก
ตัวอย่างหนัง Stranger Things
รีวิว หนัง Stranger Things บางส่วนจาก beartai
จริงๆ ผมเองก็เป็นคนนึงล่ะครับที่เคยเห็นโปสเตอร์จากหนังเรื่องนี้ผ่านหูผ่านมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดจะหยิบมาดูเป็นจริงเป็นจังอะไร เพราะคิดว่าน่าจะเป็นหนังเด็กเจอเอเลี่ยนทั่วๆ ไปอย่างที่เราคุ้ยเคยกันอย่าง E.T (E.T. the Extra-Terrestrial , 1982) หรือ Super 8 (2011) แต่อาการติดซีรีส์มันก็เหมือนติดโรคระบาดล่ะครับ ในเมื่อของเค้าดีขนาดนี้ ผมจึงทนแรงรบเร้าแกมขู่บังคับให้ไปดูจากเพื่อนที่เป็นคอซีรีส์เรื่องนี้ไม่ไหว จนสุดท้ายก็พากันติดงอมแงมไม่ได้หลับไม่ได้นอนจนได้ และถ้าเพื่อนๆอยากรู้จักซีรีส์เรื่องนี้เหมือนกันล่ะก็ ตามผมมาได้เลยครับ…
‘Stanger Things’ เป็นซีรีส์แนว ไซไฟ-ทริลเลอร์ (Sci-fi / Thriller) ที่ผสมผสานกลิ่นอายยุค 80’s เอาไว้อย่างอัดแน่น ทำให้เราอดนึกถึงสไตล์หนังเท่ๆ ของตาลุง สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) หรือบรรยากาศหลอนๆจากนิยายสยองขวัญของ สตีเฟน คิง (Stephen King) ไม่ได้
โดยซีรีส์เรื่องนี้จะเล่าถึงยุค 1980 ที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในรัฐอินเดียน่าได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อเด็กชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘วิล บายเยอร์’ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ จนทำให้แม่และพี่ชายของเขาต้องออกตามหากันให้วุ่น แต่ไม่ว่าจะตามหาอย่างไรก็ดูเหมือนว่าวิลจะไม่ทิ้งร่องรอยอะไว้เลย ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกคนในเมืองต้องช่วยกันออกตามหา ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง แก๊งเพื่อนๆ ของวิลอีก3คน ก็ได้พบกับเด็กหญิงลึกลับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่จะมาช่วยพวกเค้าหาทั้งวิลและทั้งคำตอบว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเมืองนี้กันแน่
‘เรื่องราวและการเล่าเรื่องราว’ ซึ่งบอกตามตรงว่าพล็อตหลักของซีรีส์เรื่องนี้ อาจจะดูธรรมดาหรือออกจะคลิเช่เกินไปสำหรับใครหลายๆ ที่คุ้นเคยกับหนังไซไฟ-ทริลเลอร์ เรื่องอื่นๆ เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะพล็อตสัตว์ประหลาด เด็กมีพลังจิต หรือ การทดลองลับใดๆก็ตาม ก็อาจจะคิดว่าเรื่องนี้ก็คงคล้ายหนังเรื่องอื่นๆนั่นแหละ แต่ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับว่าไม่มีคำว่าธรรมดาเลยสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ เพราะมันคือการหยิบเอาหนังไซไฟ-ทริลเลอร์ในตำนานเหล่านั้นมายำรวมกันไว้ในหนังเรื่องเดียว และบอกเล่าเรื่องราวใหม่ได้อย่างลื่นไหล มีจังหวะการติดต่อสนใจและชวนให้ติดตามอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะไอเดียของหนังที่วางคอนเซ็ปการผูกปมเรื่องราวต่างๆ ซึ่งตรงนี้บอกได้เลยว่ามันคือการนำมาเล่าใหม่ได้มีสไตล์ไม่จำแจไม่ซับซ้อน และเคารพหนังในยุค 80’s มากจริงๆ ครับ
ต่อไปคงต้องยกความดีความชอบให้กับ ‘นักแสดง’ แทบทุกคนในเรื่องครับ เพราะเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่น่าเบื่อเลยก็คือการแสดงที่มีสเน่ห์และมีพลังมากจริงๆ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กๆ ในเรื่อง ที่แต่ละคนมีคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างกันไปแต่กลับเคมีเข้ากันสุดๆเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกัน เป็นจุดสำคัญที่ทำให้อารมณ์ของหนังผ่อนคลายลงได้เสมอเมื่อถึงฉากของเด็กๆ พวกนี้ และอีกหนึ่งคาแร็คเตอร์ที่ขึ้นหิ้งเป็นหนึ่งในตัวละครโปรดในดวงใจของผมไปเรียบร้อยแล้วอย่าง ‘เอล'(Ele) หรือ เอลเลฟเว่น (Eleven)’ รับบทโดย Millie Bobby Brown นักแสดงสาวน้อยวัย 12 ปี ที่ทำหน้าที่เป็น เอล ได้อย่างดีเยี่ยม สายตาและท่าทางที่ใช้ในการแสดงทำให้ผมเชื่อในตัวละครนี้ได้ไม่ยาก เป็นตัวละครน่าค้นหาและเอาใจช่วยมากๆ คือสำหรับผมแล้ว เอล ถือว่าเป็นตัวละครที่น่าจดจำที่สุดของซีซั่น 1 เลยก็ว่าได้ครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่ตรึงผมให้อยู่กับซีรีส์เรื่องนี้ได้อย่างอยู่หมัดเลยก็คือ ‘เพลง’ ครับ ถ้าใครชอบฟังเพลงแนว Synthwave ที่จะได้กลิ่นอายเพลงอิเลคโทรป๊อบยุค 80’s รุ่นเก่าๆ หน่อยแบบผม ก็จะยิ่งประทับใจในซีรีส์เรื่องนี้ เพราะ Soundtrack ที่ใช้ทั้งเรื่องนั้น จะเป็นซาวด์ดนตรีที่ให้มู้ดความน่าพิศวง ความลึกลับน่าค้นหา และสเน่ห์บางอย่างที่ทำหน้าที่ร่วมกับงานภาพที่สวยงามได้เป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศในหนังดูตื่นเต้นน่าติดตามตลอดเวลา และเข้าถึงได้กับทุกอามรมณ์ของหนัง และความเก๋ของเพลงประกอบซีรีส์เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงในวงกว้างถึงขนาดส่งให้ Kyle Dixon กับ Michael Stein สองสมาชิกจากวงดนตรีแนวอิเล็คทรอนิคส์สัญชาติอเมริกันชื่อ S U R V I V E แจ้งเกิดแบบสุดๆในฐานะผู้สร้างสรรค์เพลงประกอบซีรีส์ Stanger Things และประสบความสำเร็จถึงขนาดที่ว่าได้รับการส่งชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา “Best Score Soundtrack” ในปีนี้กันเลยทีเดียว ถ้าใครอยากรู้ว่ามันเจ๋งยังไงละก็ วันนี้ผมนำเอามาฝากหนึ่งเพลงครับ ไปลองฟังกันได้เลย