รีวิว หนัง Outside The Wire สมรภูมินอกลวดหนาม
รีวิว หนัง Outside The Wire สมรภูมินอกลวดหนาม ภาพยนตร์แอ็กชันสุดมันส์ที่จะทำให้คุณใจเต้นไม่หยุด
ภาพยนตร์แนวแอ็กชันนั้นเป็นภาพยนตร์ที่จะเน้นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ แต่ด้วยความที่การต่อสู้อย่างเดียวอาจจะทำให้เนื้อเรื่องไม่ได้มีความโดดเด่นมากมายและกลายเป็นภาพยนตร์ที่มีคนมายิงปืนกันไปมาแบบน่าเบื่อ ทำให้ผู้กำกับส่วนใหญ่มักจะสอดแทรกเรื่องราวความดราม่าหรือแนวภาพยนตร์อื่นลงไปเพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้กับเรื่องราวในภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น
อย่างเช่นภาพยนตร์เรื่อง Outside The Wire ที่มาพร้อมกับฉากสงครามในอนาคต เต็มไปด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีไฮเทคมากมายไม่ว่าจะเป็นปืนสุดล้ำหรือแม้แต่หุ่นยนต์ รับรองว่าคุณจะได้เมามันส์ไปกับฉากการต่อสู้สุดดุเดือดอย่างแน่นอน เป็นภาพยนตร์ที่สามารถทำให้อะดรีนาลีนของคุณหลังจนใจเต้นไม่หยุดได้ด้วยความลุ้นระทึก
ไม่เพียงเท่านั้นด้วยความที่ภาพยนตร์เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์จักรกลชีวะ ทำให้มันมีการแฝงเรื่องความขัดแย้งระหว่างมนุษยธรรม ศีลธรรมและสงครามออกมาได้เป็นอย่างดี การตัดสินใจของตัวละครเอกนั้นจะทำให้เราตั้งคำถามและสงสัยว่าสิ่งที่เขาทำนั้นแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ เป็นการยกระดับภาพยนตร์แนวต่อสู้ให้มีความพิเศษมากยิ่งขึ้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะตอกย้ำความจริงอีกครั้งเหมือนกับที่ภาพยนตร์แนวสงครามเรื่องอื่นเคยทำมาก่อนนั่นก็คือ สงครามไม่เคยสร้างผลดีให้กับใครแม้ว่าจะเป็นฝ่ายที่ชนะก็ตาม ประกอบกับการใช้หุ่นยนต์ในการต่อสู้ที่ทำให้เรานั้นตั้งคำถามถึงศีลธรรมมากยิ่งขึ้น สมควรแล้วหรือไม่กับการส่งทหารซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยออกไปตายเพื่อปกป้องประชาชนที่เป็นคนหมู่มาก แม้ว่ามันจะเป็นหน้าที่แต่หากมองในมุมนี้แล้วเราก็จะเห็นได้ถึงความขัดแย้งทางศีลธรรมที่ในปัจจุบันมนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถหาทางแก้ไขได้
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Outside The Wire
Outside The Wire จะเล่าถึงเรื่องราวในโลกอนาคตปี 2036 มนุษย์สามารถพัฒนาเทคโนโลยีทางการทหารจนทำให้สามารถพัฒนาหุ่นยนต์จักรกลชีวะได้สำเร็จ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีหุ่นยนต์และเทคโนโลยีในการต่อสู้มากมายด้วย
ในขณะเดียวกันทางยุโรปตะวันออกก็ได้มีสงครามกลางเมืองปทุมขึ้นมา กองกำลังของสหรัฐอเมริกาที่ประจำการอยู่ในยุโรปตะวันออกจึงได้เข้ามาควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ด้วยการส่งหุ่นยนต์ทหารเข้าไปปฏิบัติการร่วมกับมนุษย์ โดยหุ่นยนต์เหล่านี้จะถูกควบคุมทางไกลพร้อมกับโดรนที่คอยจัดการปัญหาที่ทหารภาคพื้นดินไม่สามารถจัดการได้
ฮาร์ปเป็นนายทหารที่ได้รับมอบหมายในการควบคุมโดรน ในครั้งนี้เขาได้จัดการระเบิดใส่รถต้องสงสัยคันหนึ่งเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้คน แต่มันเป็นการขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและทำให้ต้องสูญเสียกำลังฝ่ายตนเองไปเป็นจำนวนหนึ่งด้วย แต่เขากลับคิดว่าการสละชีวิตของทหารในฝั่งตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนส่วนมากนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องและทำลงไปอย่างที่ไม่รู้สึกรู้สา
ด้วยเหตุนี้ทำให้เขานั้นต้องไปปฏิบัติภารกิจกับผู้กองลีโอ ทหารมากฝีมือและประสบการณ์ ทั้งสองคนถูกส่งไปยังยูเครนเพื่อทำภารกิจต่อต้านผู้ก่อการร้ายอย่างวิคเตอร์ที่ต้องการจะใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในการทำลายล้างโลกใบนี้ ลีโอนั้นไม่ใช่ทหารปกติธรรมดาทั่วไปเพราะความจริงแล้วเขาเป็นหุ่นยนต์จักรกลชีวะที่เต็มไปด้วยความสามารถด้านการต่อสู้ แต่เขาได้เก็บงำความลับนี้เอาไว้กับตัวมาโดยตลอด
แม้ว่าลีโอนั้นจะเป็นหุ่นยนต์แต่เขาก็มีความคิดแยกคล้ายไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ แทนที่ทั้งสองคนนั้นจะได้ทำงานเป็นคู่หูกัน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนกลับเป็นเจ้านายและลูกน้องแทน ยิ่งทำงานร่วมกันมากแค่ไหนทหารหนุ่มก็เริ่มเห็นแล้วว่าทหารหุ่นยนต์ผู้นี้สามารถคิดนอกกรอบได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
การลงพื้นที่ไปปฏิบัติภารกิจในสมรภูมิจริงนั้นจะทำให้ทหารที่เคยบังคับโดรนฆ่าผู้คนผ่านจอและจอยบังคับไม่ต่างอะไรกับเกมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของชีวิตผู้คนมากยิ่งขึ้น เขาจะได้เข้าใจว่าการเป็นทหารภาคพื้นดินนั้นเต็มไปด้วยอันตรายและความกดดันมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วเขาจะสามารถเอาตัวรอดจากสมรภูมิที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายและทางเลือกที่แสนยากเย็นได้สำเร็จหรือไม่ ต้องไปติดตามรับชมต่อในภาพยนตร์
Outside The Wire เรื่องราวของปรัชญาสงครามและเทคโนโลยี
Outside The Wire เป็นภาพยนตร์สงครามที่หักรับชมแบบผิวเผินแล้วเราจะได้ความสนุกและความเมามันจัดการต่อสู้ยิงกันไปมาแทบจะไม่มีหยุดพักอย่างแน่นอน แต่หากเรารับชมให้ลึกซึ้งมากขึ้นไปอีกสักนิดเราจะพบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีการแฝงปรัชญาสงครามและปรัชญาด้านเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง
ลีโอซึ่งเป็นทหารหุ่นยนต์จักรกลชีวะนั้นจะทำให้เราตั้งคำถามถึงมนุษยธรรม เพราะเขานั้นเป็นคนที่มีความคิดความอ่านและความรู้สึกไม่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่เขาเป็นหุ่นยนต์การส่งเขาลงไปรบในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยอันตรายนั้นเป็นสิ่งที่ถูกหลักมนุษยธรรมหรือไม่ หรือความจริงแล้วเราไม่ต้องปฏิบัติกับหุ่นยนต์ที่เหมือนกับมนุษย์ให้เท่าเทียมกับมนุษย์ก็ได้
ในการทำสงครามนั้นเป็นการสูญเสียผู้คนส่วนน้อยเพื่อปกป้องผู้คนส่วนมากอยู่แล้ว ความคิดของฮาร์ปถึงไม่ใช่ความคิดที่ผิดสำหรับการทำสงคราม แต่หากมองในมุมของศีลธรรมความคิดนี้อาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แต่เพราะว่าเขาเป็นทหารทำให้มุมมองต่อการต่อสู้ของเขาเป็นแบบนั้น ระหว่างการรับชมเราจึงจะมีการตั้งคำถามของการตัดสินใจของตัวละครว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นสุดท้ายแล้วเป็นสิ่งที่เหมาะสมและสมควรหรือไม่
ตัวอย่างหนัง Outside The Wire สมรภูมินอกลวดหนาม
หนัง Outside The Wire สมรภูมินอกลวดหนาม
เป็นหนังเน็ตฟลิกซ์ที่ทรงมาทางแอ็กชันไซไฟจ๋า แต่ความน่าสนใจคงเป็นการกลับมารับบท ซูเปอร์ฮิวแมน ของ แอนโธนี แมกคี ที่ติดตาแฟน ๆ มาจากบท แซม วิลสัน หรือ ฟอลคอน จากหนังมาร์เวล งานนี้จึงต้องมาลุ้นกันว่าถ้าไม่ใช่หนังตระกูลมาร์เวลแล้วเขาจะยังรับบทแนวซูเปอร์ฮีโรรอดหรือไม่ เพราะกับบทบาทแนวไซบอร์กจากซีรีส์ Altered Carbon ซีซัน 2 ทางเน็ตฟลิกซ์ของเขา เรียกว่าล้มเหลวในด้านเสน่ห์ความน่าติดตามพอสมควรเลย
ส่วนด้านทีมงานเบื้องหลังงานสร้างก็ได้ผู้กำกับ มิคาเอล ฮาฟสตรอม จากสวีเดนที่เคยมีผลงานพอสร้างชื่ออย่างหนังสยองขวัญทั้ง 1408 (2007) และ The Rite (2011) โดยในแนวแอ็กชันก็มีผลงานที่น่าจดจำคือ Escape Plan (2013) ที่ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ปะทะ อาร์โนลด์ ชวาร์ซเน็กเกอร์ ดูจากผลงานถือว่าเชื่อมือการเล่าเรื่องได้ระดับหนึ่งเลยล่ะ แต่จะหวังบู๊ล้างผลาญเลยน่าจะยากนิดหนึ่ง
ซึ่งก็เป็นดังนั้น เพราะเมื่อประจวบเหมาะกับการได้มือเขียนบทอย่าง ร็อบ เยสคอมบ์ ที่เคยผ่านงานเขียนบทให้เกมเนื้อเรื่องน้ำดีอย่าง The Division ที่ผสมแอ็กชัน โรคระบาดกับการเมืองได้เข้มข้นมาเขียนบทด้วยแล้ว ก็ยิ่งส่งเสริมกันดีในทางบทชวนคิดมากกว่าชวนลุ้นระทึกนันสต็อปแน่นอน
จริง ๆ การที่ร็อบได้จับมือกับ โรแวน เอเธล ที่มีผลงานแนวแอ็กชันไซไฟเกรดบีมาร่วมเขียนบท และพิจารณาจากที่ร็อบเคยเขียนบทเกมไซไฟเอามันอย่าง Crysis มาแล้ว มันก็มีทั้งทางเลือกแบบเกรดบีเอามันไม่สนใจโครงเรื่องแบบเอาตัวรอดง่าย ๆ ไปเลยได้เช่นกัน แต่เมื่อหนังมันออกมาทางที่ไซไฟปรัชญาที่ท้าทายตัวเองของทั้งคู่แทน เราก็ชื่นชมในความกล้าตรงนี้เช่นกัน
หนังเล่าเรื่องของทหารอ่อนประสบการณ์ในสนามรบจริงอย่าง ฮาร์ป (แดมสัน ไอดริส) ที่ตัดสินใจฆ่าคนผ่านจอและปุ่มคอนโทรลในมือไม่ต่างจากการเล่นเกม ทำให้เขาตัดสินใจสละชีวิตทหารฝั่งตัวเองเพื่อผลลัพธ์ได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร การโดนลงโทษให้ไปร่วมภารกิจกับ ผู้กองลีโอ (แมกคี) ทหารสุดเก๋าก็ราวกับจะให้อารมณ์หนังสไตล์คู่หูชัดเจน ทว่าเมื่อ ฮาร์ปถามลีโอว่า นี่มันเหมือนเราเป็นคู่หูกันเลย? เขาก็โดนลีโอตะคอกหงายตึงว่า ไม่ แกเป็นลูกน้องฉัน เท่านั้น ทำให้ผู้ชมเริ่มต้องปรับตัวนิด ๆ ว่า นี่ไม่ใช่งานดูเพลิน ๆ เอามันแบบ Bad Boys แน่นอนแล้วล่ะ
มองรวมไปถึงโพรดักชันที่อยู่ในระดับซีจีหนังเกรดบีฮอลลีวูด และการเล่าฉากบู๊ที่ไม่ค่อยสะใจนัก กึ่ม ๆ จะดีแต่ก็ต้องแบกด้านปรัชญาดราม่าด้วย เลยกลายเป็นฉากบู๊ทื่อลง จึงน่าจะพูดแทนผู้ชมส่วนใหญ่ได้เลยว่า น่าจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้เท่าใดนัก อาจอยู่ในเกณฑ์พอดูได้ แต่ไม่ดูจะทรมานน้อยกว่า แต่ถ้าคุณชอบแนวปรัชญาไซไฟสงคราม ตั้งคำถามต่าง ๆ ก็ดูเถอะ หนังก็อยุ่ในกลุ่มกลาง ๆ ไม่ได้แย่เช่นกันสำหรับแนวนี้