รีวิว หนัง MUNICH – THE EDGE OF WAR
รีวิว หนัง MUNICH – THE EDGE OF WAR ภาพยนตร์สะท้อนความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านกองทัพนักแสดงออสการ์
จากการที่โลกของเรานั้นผ่านสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน มีการทำสงครามใหญ่ระดับโลกมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามนุษย์เรานั้นไม่ได้เรียนรู้เรื่องความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงครามเลยแม้แต่น้อย เพราะสุดท้ายในปัจจุบันก็ยังคงมีการทำสงครามกันอยู่ในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสงครามเก่าที่ไม่เคยมีการเซ็นสัญญาสงบศึกมาก่อนหรือสงครามที่เพิ่งจะปะทุขึ้นมาก็ตาม ไม่น่าเชื่อเลยว่าในยุคปัจจุบันยังคงมีการล่าอาณานิคมด้วยการใช้กำลังทางการทหารอยู่ แต่มันก็เกิดขึ้นจริงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากจะพาทุกคนมารับชมภาพยนตร์เรื่อง MUNICH – THE EDGE OF WAR มันเป็นภาพยนตร์ NETFLIX ที่จะเล่าถึงเรื่องราวผลกระทบที่ประชาชนได้รับในสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมุมมองสายตาของประชาชนคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้เป็นทหารหรือไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางการเมือง
หากสังเกตดูให้ดีเอาเฉพาะว่าภาพยนตร์แนวสงครามที่เล่าถึงเรื่องราวผ่านสายตาของบุคคลธรรมดาหรือทั่วไปนั้นมักจะเต็มไปด้วยเรื่องราวโศกนาฏกรรมเมื่อเทียบกับภาพยนตร์สงครามที่เล่าผ่านมุมมองของทหารหรือนักการเมือง ดังนั้นแน่นอนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่สวยงามท่ามกลางสงครามแต่อย่างใด มันจะพูดถึงการที่รวมของคนธรรมดาทั่วไปที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในภาวะสงคราม ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรจึงจะสามารถเอาชีวิตรอดจากห่ากระสุนและระเบิดได้สำเร็จ นอกจากนี้พวกเขายังต้องเอาตัวรอดจากสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จนทำให้เกิดข้าวยากหมากแพงไปทั่วทุกแห่งอีกด้วย
ที่น่าสนใจเป็นมากกว่านั้นก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รวมกองทัพนักแสดงระดับ OSCAR มากมายมารวมกันไม่ว่าจะเป็นเจเรมี่ ไอรอนส์พี่เพิ่งจะฝากผลงานภาพยนตร์ใหม่ล่าสุดอย่าง HOUSE OF GUCCI ซึ่งตอนนี้คว้าเงินรายได้ไปแล้วกว่า 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ จอร์จ แม็คคายนักแสดงที่รับบทโดยแบบเป็นทหารส่งจดหมายในภาพยนตร์เรื่อง 1917 ยังไม่รวมไปถึงยันนิส นีเวอร์เวอร์ที่ฝากผลงานแสดงในภาพยนตร์เรื่องเราคือคาร์ลที่ได้รับบทวิจารณ์มวย WEBSITE ROTTEN TOMATO เกือบ 100% เรียกว่าเป็นการรวมตัวกันของนักแสดงคุณภาพก็ว่าได้
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง MUNICH – THE EDGE OF WAR
MUNICH – THE EDGE OF WAR เป็นภาพยนตร์ที่จะพาเราย้อนกลับไปในปี 1988 ช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่ประเทศในแถบยุโรปนั้นกำลังจะก้าวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อีกครั้งหลังจากผู้นำเผด็จการของเยอรมันนีอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้เตรียมทหารเข้าไปบุกในเชคโกสโลวาเกีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในอารักขาของประเทศฝั่งสัมพันธมิตร ด้วยเหตุนี้ทำให้รัฐบาลของเนวิลล์ แชมเบอร์เลนมีความพยายามที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกอย่างสันติให้สำเร็จเนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าการก่อสงครามหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 พึ่งจบลงได้ไม่นานจะทำให้โลกต้องเผชิญกับหายนะแค่ไหน พวกเขาจึงยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งก้มให้กับเหล่าอักษะก็ตาม
สถานการณ์เริ่มทวีความกดดันมากขึ้นทุกวันทำให้เจ้าหน้าที่รัฐของอังกฤษอย่างฮิวจ์และพอล นักการทูตชาวเยอรมันได้ตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองมิวนิคเพื่อเข้าร่วมประชุมในวาระฉุกเฉิน การเจรจาต่อรองได้เริ่มต้นขึ้นเพื่อหาทางในการยับยั้งการเกิดสงคราม ทั้งสองคนนั้นเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนแต่การเกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้กลับทำให้น้องคู่นั้นต้องตกอยู่ในวังวนของกลอุบายที่เต็มไปด้วยอันตรายทางการเมือง
ในขณะเดียวกันเองโลกทั้งใบก็กำลังเฝ้าจับตามองเหตุการณ์สงครามที่ใกล้จะปะทุขึ้นทุกที นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ที่เต็มไปด้วยความข้างทางในอดีตกำลังจะถูกเปิดเผยออกมาบนเส้นขนานของชะตากรรมประเทศในยุโรปที่กำลังเริ่มแตกออก เมื่อผู้นำทั้งสองฝ่ายเข้ามามีความเกี่ยวข้องแต่กลับมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันทำให้โลกทั้งใบต้องเผชิญกับจุดจบที่ไม่มีใครคาดคิด ทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นหากพวกเขาสามารถร่วมกันยุติเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สำเร็จ สุดท้ายแล้วพวกเขาทั้งสองคนจะเป็นอย่างไรต่อไปต้องติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง MUNICH – THE EDGE OF WAR
MUNICH – THE EDGE OF WAR เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละครที่มีความเกี่ยวข้องทางการเมืองก็จริง แต่ภาพยนตร์ก็ได้มีการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของพวกเขานอกเหนือจากพาร์ทการเมือง ให้เราได้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนที่ไม่ได้เป็นทหารอยู่ในสนามรบ เป็นประชาชนคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม นำเสนอในรูปแบบดราม่าระทึกขวัญให้เราได้เห็นถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
ความดีงามของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแรกเลยก็คงจะหนีไม่พ้นนักแสดงมากฝีมือแต่ละคนที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและสมจริง เนื้อเรื่องก็เต็มไปด้วยความน่าติดตามและความเข้มข้นจนทำให้แม้แต่คนที่รู้เรื่องประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่แล้วก็สามารถลุ้นระทึกและอยากจะติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไปถึงจะรู้จุดจบว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม อารมณ์ภายในภาพยนตร์นั้นเต็มไปด้วยความหม่นหมองสมกับการที่อยู่ในสงคราม งานภาพมีความสวยงามเปรียบเสมือนกับงานศิลปะ ในขณะเดียวกันเพลงประกอบก็ช่วยให้บรรยากาศภายในภาพยนตร์ดียิ่งขึ้นไปอีก
ตัวอย่างหนัง MUNICH – THE EDGE OF WAR
รีวิวหนัง MUNICH – THE EDGE OF WAR บางส่วนจาก playinone
ภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์สะท้อนความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านมุมมองคนธรรมดา เนื้อเรื่องน่าติดตาม เดาทางแทบไม่ได้ หน่วงไปกับอารมณ์สุดหมองหม่น ตัวละครที่น่าสนใจ นักแสดงต่างมีฝีมือ มุมกล้องที่ดีงาม เพลงประกอบชวนตรึงอารมณ์ แม้จะติดเครื่องช้าและภาพรวมค่อนข้างเนือยและไม่ได้ระทึกมากอย่างที่คิด
Munich – The Edge of War (มิวนิค ปากเหวสงคราม) ภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์ เขียนบทโดย Ben Power และกำกับโดย คริสเตียน ชโวโชว์ ผู้กำกับผู้เคยทำผมกับคนดูเหวอมาแล้วกับ เราคือคาร์ล โดยดัดแปลงจากหนังสือขายดีคำวิจารณ์เยี่ยมเรื่อง Munich ของ โรเบิร์ต แฮร์ริส ว่าด้วยการประชุมข้อตกลงมิวนิกปี 1938 เพื่อนรักชาวอังกฤษและเยอรมันกลับต้องร่วมมือเพื่อปกป้องฝั่งของตัวเองในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กองทัพฮิตเลอร์นั้นเริ่มแผนรุกรานยุโรป ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นการรวมดาวมือรางวัลออสการ์มากมายที่น่าจับตาทั้งเจเรมี่ ไอร่อนส์ ผู้คว้าออสการ์ เอมมี่ และโทนี่
บทบาทของพ่อบ้านอัลเฟรดจากภาพยนตร์จักรวาล DC และเพิ่งจะฝากผลงานสุดเริ่ดอย่าง House of Guici ของริดลีย์ สก็อตต์ที่กวาดเงินไปแล้วกว่า 100 ล้านเหรียญ ไหนจะได้ประชันกับจอร์จ มักคาย ดาราชายน่าจับตามองที่กวาดรางวัลมามากมายจากบททหารส่งจดหมายสะท้อนความเป็นมนุษย์สามัญใน 1917 อีกทั้งยังได้ยันนิส นีเวอเนอร์ นักแสดงจากหนังเรื่องก่อนหน้า เราคือคาร์ล ภาพยนตร์ยังได้รับคำวิจารณ์เกือบ 100 เปอร์เซนต์ในเว็บ Rotten Tomatoes อีกด้วย ชักน่าสนใจแล้วว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน เมื่อมันฉายในเน็ตฟลิกซ์หลังจากฉายจำกัดโรงเมื่อปีที่แล้ว
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1938 ยุโรปกำลังจะเข้าสู่สงคราม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เตรียมบุกเชโกสโลวาเกีย และฝ่ายพันธมิตรอย่างอเมริกันต้องถอยกลับไปเมือ รัฐบาลของเนวิลล์ เชมเบอร์เลนพยายามทุกวิถีทางที่จะหาทางออกอย่างสันติ แม้ต้องก้มหัวให้กับฝ่ายอักษะอย่างเยอรมัน ความกดดันทวีขึ้นเรื่อยๆ ฮิวจ์ ลีแกต เจ้าหน้าที่รัฐของอังกฤษ และพอล ฟอน ฮาร์ทมันน์ นักการทูตเยอรมันจึงเดินทางไปมิวนิกเพื่อเข้าประชุมวาระฉุกเฉิน เมื่อการเจรจาต่อรองเริ่มต้นขึ้น เพื่อนเก่าทั้ง 2 คนกลับต้องตกอยู่ท่ามกลางวังวนของกลอุบายทางการเมืองและอันตรายที่แท้จริง ขณะที่ทั่วโลกกำลังเฝ้าจับตามอง ความสัมพันธ์ในอดีตที่ค้างคาของผู้ชายสองคนก็ค่อย ๆ ถูกกะเทาะออกพร้อม ๆ กับเส้นขนานของชะตากรรมยุโรปที่เริ่มแตกออกอย่างช้า ๆ เมื่อผู้นำทั้งสองฝ่ายเข้ามาเกี่ยวตรงกลาง อุดมการณ์ที่ต่างนั้นนั้นอาจนำมาซึ่งจุดจบที่ไม่มีใครคาดถึง เว้นเสียแต่พวกเขาจะร่วมมือกันเพื่อหยุดยั้งวิกฤตครั้งนี้
เรื่องราวถูกบอกเล่าตัดสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบันเป็นระยะ ๆ ในช่วงต่าง ๆ แม้ว่าจะไม่ได้เน้นย้ำความสำคัญของเรื่องราวแต่ก็สะท้อนความหวังและความสิ้นหวังของตัวละครในช่วงเวลาเหตุการณ์ในตอนนั้น อารมณ์ที่แสนเข้มข้นและกดดัน ทุกอย่างอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย อาจจะปูเรื่องช้าไปหน่อย แต่พอเครื่องเดินคือลุ้นแถมไม่ห่างจอ ลุ้นว่าตัวละครจะพลาดมั้ย เพราะสถานการณ์คือไว้ใจใครไม่ได้ และเน้นเล่าการเมืองที่อิงจากประวัติศาสตร์ของนายกอังกฤษที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น ถ้าใครเรียนประวัติศาสตร์มาจะเข้าใจทันทีว่าบทสรุปของเรื่องจะเป็นยังไง แต่หนังก็ยังขับเน้นความสัมพันธ์ของผู้ชายสองคนที่รักกันแต่อุดมการณ์ทำให้พวกเขาแยกจากและพบกันอีกครั้งในเมืองมิวนิกที่ดูเยือกเย็นแต่จริง ๆ ก็ลุกเป็นไฟ
ต่างฝ่ายต่างก็พยายามเข้าหากันและกัน กลายเป็นฉากที่เปี่ยมด้วยอารมณ์เรียกน้ำตาแบบไม่ต้องฟูมฟายและเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้หนังยังยอดเยี่ยมเล่าแบบหักมุมโดยการแอบหยอดความน่าสงสัยให้เราลุ้นว่าฝ่ายที่เรากำลังติดตามเป็นฝ่ายไหน โดยไม่ต้องใช้ฉากแอ็คชั่นใด ๆ เรียกว่าเป็นหนังดราม่าสุดระทึกที่ดีมาก แม้ว่าพล็อตเรื่องโดยรวมจะยังธรรมดาไม่ได้ขนาดยอดเยี่ยมออสการ์ แต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมเกินมาตรฐานเน็ตฟลิกซ์ทั่วไปแล้ว ถือเป็นการคืนฟอร์มของผู้กำกับเลยที่ใส่ใจรายละเอียดในตัวละครจนเราหลงรักและเอาใจช่วย พร้อมจะสาปแช่งบางตัวไม่ได้พยายามชักจูงคนในแบบสุดโต่ง เหมือนกับหนังเรื่องก่อนอย่างเราคือคาร์ล