รีวิว หนัง In Time Netflix
รีวิว หนัง In Time Netflix ภาพยนตร์ที่สามารถสะท้อนความเหลื่อมล้ำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
โลกใบนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงความเหลื่อมล้ำได้ ระบบเศรษฐกิจนั้นเลือกอำนวยให้คนบางกลุ่มได้มีอำนาจและได้มีชีวิตที่ดีเพียงเท่านั้น ในขณะที่อีกหลายคนต้องปากกัดตีนถีบในการเอาชีวิตรอด หากวันไหนพวกเขาไม่สำเร็จสิ่งที่พวกเขาจะได้รับก็คือความตาย มันทำให้เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าการที่เรามีเงินบนโลกใบนี้จะสามารถยืดอายุของเราออกไปได้ แต่หากคุณไม่มีเงินคุณก็จะต้องยอมรับความตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน
แต่จะเป็นอย่างไรหากโลกนี้เงินไม่ใช่สิ่งที่มีค่าอีกต่อไปแต่เป็นเวลาต่างหาก In Time เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวความสําคัญของเวลาและสามารถสะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคมออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่สามารถจิกกัดสังคมได้อย่างแนบเนียนไม่มีที่ติ และมันยังสามารถทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่าความเหลื่อมล้ำในสังคมนั้นส่งผลต่อชีวิตของคนแต่ละชนชั้นอย่างไรบ้าง
สำหรับใครที่ชอบภาพยนต์แนวจิกกัดสังคมและสะท้อนสังคมเราขอแนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้เลย รับรองว่าหลังรับชมคุณจะได้ตีความและได้การขบคิดกลับไปมากมาย และที่สำคัญคือมันยังเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความลุ้นระทึกอีกด้วย เพราะมันเป็นการเล่าถึงเรื่องราวการเอาคืนของคนจนกับคนรวยที่ทำได้อย่างเจ็บแสบแถมยังเต็มไปด้วยไหวพริบ
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง In Time
In Time จะเล่าถึงเรื่องราวโลกมนุษย์ในอนาคตที่เทคโนโลยีได้เจริญก้าวหน้าจนมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่เงินกลับไม่ใช่สิ่งสำคัญในโลกยุคนั้นอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญมากที่สุดกลับกลายเป็นเวลา นอกจากมันจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะมีชีวิตไปได้อีกนานเท่าไหร่แล้วเรายังสามารถใช้มันในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
มนุษย์ที่เกิดมาในยุคนี้จะเติบโตจนอายุหยุดเพียงแค่ 25 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นร่างกายของเราจะคงเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่แก่ชรา ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพที่มาพร้อมกับอายุ แต่มันก็ต้องแลกมากับเวลาชีวิตซึ่งเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการซื้อขายของในชีวิตประจำวัน เมื่อเราอายุครบ 25 ปีเราก็จะมีระยะเวลาในการใช้จ่ายจำนวน 25 ปีเท่านั้น สำหรับคนรวยในโลกนี้เมื่ออายุครบ 25 ปีอาจจะได้รับของขวัญเป็นเวลานับร้อยปีหรือพันปีก็เป็นได้ แต่สำหรับใครที่เป็นคนยากจนก็จะมีเจ้าหนี้มาคอยทวงเวลากับคุณ ซึ่งนั่นหมายความว่าเวลาที่คุณจะได้ใช้ชีวิตในโลกใบนี้จะลดน้อยลงไปอีกเวลาจะถูกระบุข้อมูลเอาไว้บนข้อมือ มันจึงง่ายเป็นอย่างมากที่เราจะดูว่าใครเป็นคนจนหรือคนรวย
ภาพยนตร์จะเล่าผ่านตัวละครชายหนุ่มที่มีชื่อว่าวิล เขาเป็นคนยากจนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดกับแม่เพียงแค่สองคนเท่านั้น คนในชุมชนแห่งนี้ใช้ชีวิตกันแบบวันต่อวัน วันไหนไม่ทำงานก็จะไม่ได้รับเวลาเป็นค่าจ้างและต้องเสียชีวิตลงไปในที่สุด สองแม่ลูกจึงต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้เวลาชีวิตมา แต่พวกเขานั้นก็ไม่เคยได้เห็นเวลาไกลกว่า 24 ชั่วโมงหน้าแม้แต่ครั้งเดียว และสุดท้ายเงื่อนไขดังกล่าวก็พรากเวลาชีวิตแม่ของเขาไปในที่สุด
มีอยู่วันหนึ่งมีเศรษฐีที่มีเวลายืนยาวนับร้อยปีหลงเข้ามาในชุมชนของเขา เศรษฐีผู้นี้เปรียบเสมือนกับเหยื่ออันโอชะของโจรในละแวกนั้น แต่โชคดีที่เขาได้รับการช่วยเหลือวิล แต่หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าเศรษฐีคนนั้นได้ทำการเอาเวลาทั้งหมดให้เขาแล้วตัวเองก็ตายลงไป
แม้ว่าจะมีเวลามากแค่ไหนก็ตามสุดท้ายเขาก็ไม่อยากช่วยเหลือแม่ของตัวเองเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เดินทางออกจากชุมชนของตัวเองไปยังเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยกลุ่มคนรวย เขาต้องการที่จะก่อเหตุอาชญากรรมปล้นเวลามาจากเศรษฐีหน้าเลือดเพื่อแจกจ่ายให้กับเหล่าคนจนที่ต้องใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน เขาจะสามารถทำสำเร็จหรือไม่ต้องติดตามรับชมกันในภาพยนตร์
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง In Time
In Time เป็นภาพยนตร์ที่เปลี่ยนหน่วยแลกเปลี่ยนสินค้าจากเงินให้เป็นเวลาแทน ซึ่งต้องยอมรับเลยว่ามันเป็นการจิกกัดสังคมที่แนบเนียนเป็นอย่างมาก ในชีวิตจริงของคนเรานั้นหากคุณมีเงินมากพอก็สามารถยืดอายุออกไปได้ด้วยการซื้อการรักษาพยาบาลที่ดี ซื้อการดูแลสุขภาพ สำหรับใครที่มีเงินไม่มากพอก็ต้องทุ่มเทร่างกายในการทำงานอย่างหนักจนเจ็บป่วยแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีได้ ไม่มีแม้กระทั่งเวลาในการดูแลสุขภาพด้วยซ้ำไป
เป็นการสะท้อนให้เราเห็นอย่างชัดเจนเลยทีเดียวว่าความแตกต่างระหว่างชนชั้นนั้นก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำไปจนถึงการมีชีวิตอยู่ ไม่เพียงเท่านั้นมันยังสะท้อนถึงระบบการทำงานของรัฐอีกด้วยเนื่องจากจะมีคนทำงานที่เรียกว่าผู้รักษาเวลา เป็นคนที่จะคอยจับคนที่ขโมยเวลานั่นเอง แต่เวลาเหตุการณ์ขโมยเหล่านี้เกิดขึ้นกับคนจนเหล่าผู้รักษาเวลาก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่พอคนรวยถูกปล้นเท่านั้นผู้รักษาเวลาจะทำงานอย่างเต็มที่
ไม่เพียงเท่านั้นภาพยนตร์ยังมีการผสมผสานระหว่างแนวอาชญากรเข้ากับโรแมนติกได้เป็นอย่างดี เราจะเห็นว่าแม้ตัวละครพระเอกของเราจะเป็นคนจนแต่เขาก็มีความฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นเขายังมีความสามารถในการโน้มน้าวให้ลูกสาวของเศรษฐีที่เขาต้องการจะไปปล้นมาร่วมมือกับเขาได้อีกด้วย
ตัวอย่างหนัง In Time
รีวิว หนัง In Time บางส่วนจาก patsonic
ถ้าโลกนี้เกิดมีพวกหัวคิดประหลาด เลือกสร้างให้มนุษย์มีอายุขัยที่ 25 ปี หลังจากนั้นพวกเขาจะไม่แก่ แต่อายุจะถูกเพิ่มขึ้นเพียงจากการทำงาน การหยิบยืมส่งให้กัน และทุกอย่างที่พวกเขาไปใช้บริการ จะต้องถูกแลกเปลี่ยนด้วยอายุขัยที่เหลือของพวกเขาเหล่านั้น ดูไม่ใช่ชีวิตที่น่าสนุกเลยใช่มั้ยครับ? มนุษย์ส่วนใหญ่ในภาพยนตร์เรื่อง ‘In Time’ มีชีวิตอยู่แบบวันต่อวัน หากไม่สามารถหาเวลามาต่อชีวิตได้ทันแล้วล่ะก็ ความตายก็จะมาเยือนในทันที เราสามารถพบกับผู้คนที่นอนตายอยู่ข้างทางได้เสมอในเขตหรือโซนที่พระเอกเกิดและเติบโตมา
เมื่อ วิล ซาลาซ (Justin Timberlake จากหนังเรื่อง Friends with Benefits, Bad Teacher, The Social Network) ชายผู้เกิดในย่านคนหาเช้ากินค่ำ ได้รับรู้ความจริงของระบบอันฉ้อฉล เขารู้สึกไม่เป็นธรรม เมื่อรู้ว่ายังมีอีกด้านหนึ่งที่คนรวยที่ซื้อหาเวลาได้มากพอจนมีชีวิตยืนยาว และหลายคนถึงขั้นเป็นอมตะ ประกอบกับการจากไปอย่างกะทันหันและต่อหน้าต่อตาของ เรเชล ผู้เป็นแม่ (Olivia Wilde) ไล่เลี่ยกับการได้พบกับหนุ่มผู้มีอายุเหลือร้อยกว่าปี และเปิดเผยเรื่องดังกล่าว ก่อนชายผู้นั้นจะบริจาคอายุขัยให้กับเขาจนหมด
สภาพของการควบคุมจำนวนมนุษย์ด้วยเงื่อนไขทางพันธุกรรมแบบใหม่ เงินตราถูกใช้แทนด้วยหน่วยของเวลา แต่สิ่งที่ไม่ต่างจากเดิม คือ ความเหลื่อมล้ำทางฐานะ คนรวยคือคนที่มีอายุขัยยืนยาว คนจนหาเช้ากินค่ำ คือคนที่มีอายุแบบวันต่อวัน ในหนังเรื่องนี้ เราจะได้เห็น แม่กับลูกหน้าตาใกล้เคียงวัยกัน ได้เห็นรถเก่งหรูรุ่นเก่า แถมมีอยู่แค่สีเงินกับสีดำด้านๆ เท่านั้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้ กำกับโดย Andrew Niccol (ผู้มีผลงานอย่าง Gattaca และ The Truman Show) เขาเคยสร้างผลงานในระดับที่เป็นที่จดจำ แต่ครั้งนี้ อาจจะไปไม่ถึงระดับนั้นมากนัก หากแต่ก็เป็นผลงานที่ถือว่า ผ่านกระบวนการคิดมาพอควร ตีแผ่ความจริงของมนุษย์ในบางแง่มุมออกมาในลักษณะของหนังไซไฟ ที่ใช้ “อายุขัย” กับตัวเลขบนแขนเป็นสิ่งบอกปัจจัยและมูลเหตุ ดูเข้าใจง่าย แต่ก็ดูเข้าใจยากในขณะเดียวกันด้วย
นอกจาก “ความเหลื่อมล้ำทางการเวลา” แล้ว ในหนังก็ยังมีแบ่งโซนที่เรียกว่า “ไทม์โซน” อีกด้วย นั่นเปรียบได้กับโลกปัจจุบัน ที่เรามีกลุ่มคนหลายกลุ่ม ที่แบ่งแยกกันตาม “โอกาส” ซึ่งก็ไม่พ้น “เวลา” ซึ่งก็คือ “เงิน” ในโลกปัจจุบัน
เขาเดินทางข้ามโซนไปยัง นิวกรีนนิช ซึ่งเป็นดินแดนของชนชั้นสูง เขาได้พบกับ ซิลเวีย ไวส์ (Amanda Seyfried จากหนังเรื่อง Red Riding Hood, Mamma Mia!, Mean Girls) สาวสวยลูกสาวของมหาเศรษฐี ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นพร้อมๆ ไปกับการถูกไล่ลาจากไทม์คีปเปอร์ ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งน่ารักและน่าลุ้นในช่วงเวลาถัดมา
น่าชื่นชนในแนวความคิดที่ประหนึ่งเป็นการเสียดสีโลกปัจจุบัน คนมีเงินคือคนที่คอยกุมชะตาของระบบ คอยเบียดเบียนโอกาสที่มีอยู่น้อยนิดคนจนๆ ทีละน้อย ไม่ว่าพวกเขาจะรู้ตัว/ตระหนักหรือไม่ก็ตาม
โดยรวม ผมไม่ได้ประทับใจมากนักกับพล็อตของหนังมากนัก ผมน่ะชื่นชมในไอเดีย แต่หนังยังไม่ได้พาเราให้รู้สึกอึ้งหรือทึ่งได้มากนัก การโอนเวลาที่ทำกันได้ง่ายดายเกินไป จนเป็นเหตุให้เกิดอาชญากรรมได้ง่ายมาก หากแต่ผมเห็นด้วยกับหลายๆ คน ว่าเคมีที่ดูเข้ากันดีของสองพระนาง Justin Timberlake และ Amanda Seyfried โดยเฉพาะคนหลัง เธอมีเสน่ห์มากมาย แถมเสื้อผ้าก็ดูเข้ากันกับหุ่นของเธอเหลือหลาย ทำให้นี่คือจุดที่ดีที่สุดของหนัง