รีวิว หนัง Godzilla vs Kong
รีวิว หนัง Godzilla vs Kong ที่สุดของภาพยนตร์ประจำปี 2021
ปี 2020 นั้นเป็นปีที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ซบเซาเป็นอย่างมากจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิค-19 ภาพยนตร์หลายเรื่องนั้นจำเป็นจะต้องเลื่อนการถ่ายทำออกไป ภาพยนตร์บางเรื่องถ่ายทำเสร็จแล้วก็จริงแต่ก็มีอุปสรรคในการตัดต่อทำให้สุดท้ายแล้วก็ต้องเลื่อนการฉายออกไป ภาพยนตร์บางเรื่องโชคร้ายกว่านั้นเพราะตัดต่อและถ่ายทำเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วแต่โรงภาพยนตร์ดันไม่เปิดให้ฉาย ปี 2020 จึงเปรียบเสมือนกับปีที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาสำหรับคนที่ชื่นชอบภาพยนตร์ เราต่างก็คาดหวังว่าในปี 2021 เมื่อสถานการณ์คลี่คลายมากยิ่งขึ้นแล้วจะได้มีอะไรให้เราได้รับชมบ้าง
และดูเหมือนว่าทีมภาพยนตร์เรื่อง Godzilla vs Kong จะสัมผัสได้ถึงความต้องการอันแรงกล้าในการจะรับชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์สักเรื่องหลังจากที่ไม่ได้รับชมมาเป็นระยะเวลายาวนานนับปี เพราะหลังจากเข้าปี 2021 ได้ไม่นานพวกเขาก็ได้ทำการเขียนภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในโรงได้สำเร็จ และถือเป็นโชคดีของชาวไทยเป็นอย่างมากที่ในช่วงเวลาการฉายในเดือนมีนาคมนั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศยังไม่ได้ถึงขีดสูตรเหมือนกับช่วงกลางปีเป็นต้นมา ทำให้เรามีโอกาสได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ด้วย
Godzilla vs Kong เป็นภาพยนตร์ต่อสู้ที่หลายคนสนใจเนื่องจากมันเป็นการปะทะกันระหว่างตัวละครขนาดใหญ่ยักษ์ที่หลายคนชื่นชอบนั่นก็คือคิงคองและก็อตซิลล่านั่นเอง เชื่อว่าหลังจากที่หลายคนเคยรับชมภาพยนตร์ภาคแยกของทั้งคิงคองและก็อตซิลล่ามาก่อนหน้านี้แล้วก็ย่อมมีการตั้งคำถามว่าหากทั้งสองตัวนี้มาต่อสู้กันใครจะเป็นคนชนะ ด้วยความที่ทั้งสองนั้นต่างก็เคยเป็นตัวร้ายในภาพยนตร์ของตัวเองมาก่อน พอพวกเขาต้องมาต่อสู้กันเองมันจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมากและเมื่อมันฉายในโรงภาพยนตร์มันก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในที่สุดทั้งในแง่รายได้และคำวิจารณ์ ดังนั้นหากใครที่ยังไม่เคยรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อนเราขอแนะนำเลยว่าไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาด
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Godzilla vs Kong
Godzilla vs Kong จะเล่าถึงเรื่องราวต่อจากในภาพยนตร์เรื่อง Godzilla King of the Monsters ที่ออกฉายในปี 2019 โดยทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อมนุษย์ได้ทำการเอาตัวคองมาจากเกาะบ้านเกิดของเขา การเดินทางจากบ้านเกิดสู่ในเมืองอย่างห้องทดลองนั้นทำให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่โชคดีที่มีเด็กสาวคนหนึ่งที่สามารถสื่อสารเข้าใจกับเขาได้เดินทางมาด้วยและอาศัยอยู่กับเขาแทบจะตลอดเวลา ทำให้คองนั้นกลายเป็นสัตว์ดุร้ายขนาดใหญ่ที่สามารถควบคุมได้ด้วยเด็กหญิงตัวเล็กเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้นเมื่อ Godzilla ได้ทำการปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุพร้อมกับโจมตีคอง การต่อสู้ระหว่างทั้งสองนั้นกลายเป็นการทำลายประเทศโดยไร้สาเหตุและมันก็กลายเป็นการต่อสู้กันอย่างยาวนานในที่สุด เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ไม่มีใครทราบเลยว่าเกิดขึ้นเนื่องจากอะไรและมีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องทำการช่วยคองในการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดกิ้งก่าขนาดยักษ์ให้สำเร็จพร้อมทั้งต้องค้นหาอีกด้วยว่าเบื้องหลังการกลับมาของก็อตซิลล่านั้นเป็นความต้องการของใครเพื่อผลประโยชน์อะไรหรือไม่ การต่อสู้ของทั้งสองจะจบลงอย่างไรต้องติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง Godzilla vs Kong
Godzilla vs Kong เป็นภาพยนตร์ที่มีความยอดเยี่ยมตรงที่ตัวละครหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่มนุษย์แต่อย่างใด แต่กลับเป็นสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ทั้ง 2 ตัวอย่างคองและก็อตซิลล่านั่นเอง การที่มนุษย์ไม่ได้มีบทบาทหลักสำคัญในการดำเนินเรื่องราวมันทำให้ภาพยนตร์มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เนื่องจากความสำคัญทั้งหมดจะถูกเทไปยังสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ทั้ง 2 ตัวแทบจะ 100% มนุษย์เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการดำเนินเรื่องราวให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่นักแสดงคุณภาพหลายคนไม่มีโอกาสได้โชว์ของในภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องไม่น้อย
ไม่เพียงเท่านั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้นำเอาข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่อง Godzilla King of the Monsters มาปรับเปลี่ยนและพัฒนาให้กลายเป็นข้อดีของภาพยนตร์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผู้กำกับสายภาพยนตร์สยองขวัญเกรด B อย่าง Adam Wingard แต่ดูเหมือนว่าเพราะเขามีความสามารถที่ยอดเยี่ยมทำให้เขาได้รับโอกาสจากวอร์เนอร์บราเธอร์สและในที่สุดเขาก็สร้างตำนานได้สำเร็จ
อีกหนึ่งสิ่งที่ดีมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือเราไม่จำเป็นต้องรอเป็นระยะเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมงเพื่อที่จะได้เห็นตัวละครหลักอย่างคองและก็อตซิลล่าอีกต่อไป เพราะคราวนี้ทั้ง 2 ตัวละครเป็นตัวละครหลักทำให้เราได้เห็นหน้าพวกมันก่อนที่จะได้เห็นมนุษย์เสียอีก ไม่เพียงเท่านั้นภาพยนตร์ยังสามารถเชิดชูความเป็นพระเอกของเจ้าคิงคองได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้มันกลายเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมดอีกด้วย
แต่สำหรับแฟนคลับก็อตซิลล่าก็ไม่ต้องน้อยใจไปเพราะถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นพระเอกแบบคิงคองเนื่องจากข้อจำกัดในการแสดงสีหน้าท่าทางหรือการออกแบบที่ดูไม่เป็นมิตร แต่มันก็ไม่ได้ปรากฏกายออกมาในฐานะผู้ร้ายแบบเต็มคราบเสียทีเดียว ทำให้เรารู้สึกยังพอมีความหวังระหว่างการรับชมว่าภาพยนตร์จะทำการพลิกสถานการณ์ให้ตัวละครก็อตซิลล่าไม่ถูกเกลียดได้อย่างไร
ตัวอย่างหนัง Godzilla vs Kong
รีวิว หนัง Godzilla vs Kong บางส่วนจาก beartai
เป็นอีกเรื่องที่โดนมรสุมโควิด – 19 แต่ก็ยังดีกว่าเรื่องอื่น ตรงที่เลื่อนมาแค่ครั้งเดียว จากกำหนดเดิมวางไว้ว่าเป็นพฤศจิกายน มาเป็นมีนาคม 2021 เมื่อได้ดูก็เห็นพ้องว่าสมแล้วกับที่วอร์เนอร์และค่ายเลเจนดารี่มั่นอกมั่นใจว่าอย่างไรก็ตาม หนังฉันจะต้องฉายโรงเท่านั้น ไม่ยอมเอาลงช่องสตรีมมิง
ก็ต้องชื่นชมวอร์เนอร์และทีมงาน ที่สามารถหยิบข้อผิดพลาดจาก Godzilla: King of the Monsters (2019) มาแก้ไขรอยแผลต่าง ๆ ได้อย่างหมดจดโดยเฉพาะ เรื่องราวทางฝั่งมนุษย์ที่เป็นปัญหามาตลอดในหนังตระกูล Monsterverse ใน Godzilla vs Kong ก็เลยลดเวลาบนจอของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายลงไป แล้วเพิ่มเวลาบนจอของก็อดซิลลา และ คิงคอง ให้อย่างจุใจ แต่ถ้าดูชื่อของผู้กำกับ อดัม วินการ์ด (Adam Wingard) แล้ว ก็ยังมองว่า วอร์เนอร์นี่ก็ยังกล้าเสี่ยงกับผู้กำกับหนังสยองขวัญเกรดบี อยู่อีกนะ เพราะภาษีของ อดัม วินการ์ด นี่ก็ไม่ได้เครดิตดีไปกว่า ไมเคิล โดเฮอร์ตี้ (Michael Dougherty) จาก Godzilla: King of the Monsters เท่าไหร่เลย เคยกำกับแต่หนังทุนสร้างไม่ถึง 10 ล้าน อยู่ดี ๆ ก็ก้าวกระโดดมาคุมหนังทุนสร้าง 200 ล้านกันเลยทีเดียว แต่ก็ถือว่าโชคดีที่วอร์เนอร์ไม่พลาดซ้ำสอง
และอีกอย่างจากที่ผ่านมา เนื้อหาของเหล่ามนุษย์ก็มักจะวนเวียนเกี่ยวกับอดีตสามี-ภรรยา หรือดราม่าครอบครัว พ่อแม่ลูก ใน Godzilla vs Kong นี่ยิ้มได้เลยครับ ไม่มีดราม่าเหล่านี้ให้เห็นอีกต่อไป บทหนังวางหน้าที่ของตัวละครฝ่ายมนุษย์ได้ดีในภาคนี้ ด้วยการทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงปริศนาการปรากฏของก็อดซิลลา กับภารกิจจำเป็นของคิงคอง และแผนการร้ายขององค์กร APEX
อีกจุดหนึ่งที่หนังทำหน้าที่เอาใจผู้ชมได้ดีก็คือ รอบนี้ไม่ต้องรอไปอีก 20 – 30 นาที กว่าจะได้เห็นคิงคอง หรือ ก็อดซิลลา อีกแล้ว เพราะคราวนี้เราได้เห็นหน้าคิงคองก่อนมนุษย์เสียอีก แม้ชื่อหนังจะเอา Godzilla ขึ้นนำ แต่เอาเข้าจริง ๆ เลย พูดได้เต็มปากเต็มคำล่ะว่าคิงคองดูมีความเป็น ‘พระเอก’ อย่างเด่นชัด เพราะหนังเล่าเรื่องโดยมีคิงคองเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง ส่วนก็อดซิลลาก็โผล่มาพะบู๊ด้วยเป็นพัก ๆ ถ้าวิเคราะห์ตามแล้ว จากหนัง King Kong และ Godzilla ที่ผ่านมานั้น จะให้คนดูเชียร์ก็อดซิลลามากกว่าก็คงทำได้ยากล่ะนะ เพราะด้วยพื้นฐานที่เป็นลิง แสดงสีหน้าสายตาสื่ออารมณ์ได้ หน้าตาก็ดูเป็นมิตรกว่าก็อดซิลลา และที่สำคัญคนดูตั้งแต่อดีตจดจำความรู้สึกว่าคิงคองถูกมนุษย์รังควาญและรังแกมาโดยตลอด แม้กระทั่งภาคนี้ก็เหอะนะ เดี๋ยวก็ลากคองไปนู่นไปนี่ ไม่ถามมันซักคำว่าอยากไปมั้ย
ถึงแม้ว่าคิงคองจะได้เปรียบในเรื่องได้ใจคนดูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ก็ขอชื่นชมทีมเขียนบทอีกที ที่ฉลาดในการวางสถานะของ ‘ก็อดซิลลา’ ที่แม้ไม่ได้เป็นพระเอกจ๋าแบบคิงคอง แต่ก็ไม่ใช่ผู้ร้ายเสียทีเดียว แม้เห็นหน้าแล้วจะให้ทำใจเชื่อว่าเป็นสัตว์ยักษ์ฝ่ายดีได้ยากเต็มทีเหอะนะ ก็อดซิลลานี่ก็ประมาณเจ้าพ่อขาเก๋าที่ขี้หงุดหงิดประมาณนั้นล่ะ ก็ค่อยไปดูแล้วกันว่าบทหนังพลิกสถานะก็อดซิลลาให้กลับมาเท่ได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าบทหนังจะมีการปรับเรื่องราวฝั่งมนุษย์ได้ดีขึ้น แต่กระนั้นพลอตเรื่องโดยรวมก็ยังค่อนข้างเบา และดำเนินไปบนสูตรสำเร็จของหนังแนวบล็อกบัสเตอร์เอาใจตลาดอยู่ดี ฝ่ายดีก็ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วนฝ่ายร้ายก็ร้ายแบบชัดเจนไม่ต้องแอบแฝง เรื่องราวเดินเป็นเส้นตรงไม่มีหักมุมให้เหวอแต่อย่างใด บทหนังก็ยังคงเต็มไปด้วยช่องโหว่เต็มไปหมด ซึ่งถ้าจริงจังคิดหาเหตุผลตามก็คงหมดสนุกล่ะ เพราะเต็มไปด้วยความเวอร์วังแทบจะทุกนาที ก็ปลอบตัวเองไป ว่านี่เราดูหนังฮอลลีวูดอยู่นะ