รีวิว หนัง Fast and Furious : Hobbs & Shaw Netflix
รีวิว หนัง Fast and Furious : Hobbs & Shaw Netflix จากภาพยนตร์แข่งรถสู่ภาพยนตร์สายลับ
Fast and Furious นั้นเป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากจะเล่าถึงเรื่องราวการแข่งรถที่เต็มไปด้วยความดุเดือดเลือดพล่านและความสนุกสนานเมามันส์ที่ทำให้อะดรีนาลีนของเราหลังตลอดเวลาได้อย่างไม่น่าเชื่อ และด้วยความที่มันประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจนเรียกได้ว่าไม่มีใครบนโลกนี้ไม่รู้จักภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้มาก่อนอย่างแน่นอน ทำให้ผู้สร้างนั้นพยายามที่จะสร้างภาคต่อออกมาเรื่อยๆ จนทำให้หลายคนที่เคยรับชมมาตั้งแต่ภาคแรกรู้สึกว่าเรื่องราวชักจะออกทะเลไปกันใหญ่และไม่ได้เล่าถึงเรื่องราวการแข่งรถเหมือนเดิมแต่อย่างใดอีกต่อไปแล้ว
อย่างเช่นในปี 2019 ภาพยนตร์เรื่อง Fast and Furious ก็ได้มีการออกภาคใหม่มาและทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างเกี่ยวกับการเล่าเรื่องราวที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากการเป็นภาพยนตร์แนวแข่งรถได้กลายเป็นภาพยนตร์สายลับแนว Mission Impossible ไปเสียแล้วอย่างน่าเสียดาย นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง Fast and Furious : Hobbs & Shaw
แต่ก็ต้องยอมรับว่าถึงแม้มันจะไม่ได้เล่าเรื่องราวเหมือนเดิมแต่อย่างใดเนื่องจากมีการสร้างออกมาหลายต่อหลายครั้งจนแทบจะนับไม่ถ้วนแล้ว ด้วยความที่ผู้รับชมอย่างเรามีความรู้สึกผูกพันกับตัวละครไปแล้วจากการรับชมมาเป็นระยะเวลายาวนานหลายปี มันทำให้ถึงแล้วว่าเรื่องราวที่เล่าจะไม่เกี่ยวกับการแข่งรถแต่อย่างใดหรือการแข่งรถถูกลดความสำคัญลงแต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังคงชื่นชอบอยู่ดีเพราะเราได้เห็นตัวละครที่เรารัก
ดังนั้นมันก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่เราอยากจะแนะนำให้แฟนภาพยนตร์ Fast and Furious ได้รับชม แต่สำหรับใครที่คาดหวังว่ามันจะเป็นภาพยนตร์แนวแข่งรถสุดเมามันเหมือนกับในภาคแรกๆ คุณก็อาจจะต้องผิดหวังได้เนื่องจากในภาคนี้จะเล่าเน้นเรื่องราวการสืบสวนสอบสวนมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงมีฉากแข่งรถสุดเร้าใจให้เราได้รับชมเหมือนเดิม
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Fast and Furious : Hobbs & Shaw
Fast and Furious : Hobbs & Shaw จะเล่าถึงเรื่องราวหลังจากที่แฮตตี้ ซึ่งเป็นสายลับ mi6 ปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จเนื่องจากถูกซ้อมแผนทำการจารกรรมไวรัสมรณะจนทำให้เธอเข้าตาจนแล้วฉีดมันเข้าเส้นเลือดตัวเองในที่สุด เธอพยายามหนีจากการตามล่าเนื่องจากเธอกลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่ทางการต้องการจะได้ตัวไป นั่นก็เป็นเพราะว่าเธอได้มีไวรัสมรณะอยู่ในเลือดแล้วนั่นเอง
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่พี่ชายสุดป่วนของเธออย่างเดคคาร์ด ชอว์ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับลุค ฮอบบส์ในฐานะลูกทีมแข่งรถ ทั้งสองคนนั้นเป็นคู่ปรับตลอดกาลที่ไม่เคยมีใครยอมใครมาก่อน แต่สาเหตุที่พี่ชายของเธอตัดสินใจเข้าร่วมทีมกับลุคก็เป็นเพราะว่าเขานั้นต้องการจะช่วยเหลือน้องสาวของเขาที่ถูกตามล่าอยู่นั่นเอง
แต่เหตุการณ์กลับเลวร้ายไปมากกว่านั้นแฮตตี้ไม่ได้ถูกตามล่าจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไปแต่มันเป็นถึงนักรบที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมให้มีความโหดร้ายและร่างกายที่แข็งแรงทนทานเรียกได้ว่าแทบจะไร้เทียมทานก็ว่าได้อย่างบริกซ์ตัน แม้ว่าภายนอกมันจะดูเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาทุกประการแต่มันกลับมีความสามารถในการต่อสู้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้หญิงสาวแทบจะออกตัวรอดไม่ได้
ทุกคนต้องร่วมมือกันทำภารกิจนี้ให้สำเร็จก่อนที่แฮตตี้รวมไปถึงไวรัสมรณะจะทำลายโลกมนุษย์ของเราอย่างสิ้นซากจนไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ได้อีกต่อไป เรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไรต้องติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง Fast and Furious : Hobbs & Shaw
Fast and Furious : Hobbs & Shaw ได้ไอเดียมาจากการที่มีร้านบน Instagram ระหว่างดเวย์น จอห์นสันและวิน ดีเซล ด้วยเหตุนี้ทาง Universal Studio จึงได้ทำการเปิดปฐมฤกษ์จักรวาลภาพยนตร์ Fast and Furious ด้วยการนำเอาคาแรคเตอร์ผู้ร้ายและตำรวจมาทำการปฏิบัติภารกิจร่วมกัน ถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะนอกจากมันจะแก้ปัญหาดราม่าได้แล้วมันยังกลายเป็นหนทางใหม่ในการสร้างภาพยนตร์ในจักรวาล Fast and Furious อีกด้วย
การกลับมาในครั้งนี้เป็นไปด้วยความดุเดือดเมามันในการต่อสู้อย่างแน่นอนเนื่องจากได้ผู้กำกับภาพยนตร์แอ็คชั่นมากฝีมือที่เคยฝากผลงานไว้ทั้ง Deadpool 2 Atomic Blonde และจอห์นวิคภาค 1 มานั่งแท่นกำกับเองอย่างเดวิด ลีตส์ ส่วนคนเขียนบทนั้นก็ยังคงเป็นคริส มอร์แกนเจ้าเก่าเจ้าเดิมที่เขียนบทให้ภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้มาโดยตลอดทุกภาค
การขยายจักรวาลในครั้งนี้ทำให้เราไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเสน่ห์และความสนุกของภาพยนตร์ตระกูล Fast แบบเดิมได้อีกต่อไป การเล่าเรื่องราวแนวมิตรภาพก็ค่อนข้างที่จะผิวเผิน ค่อนข้างที่จะตัดฉากการแข่งรถออกไปเป็นจำนวนมากแม้ว่าจะมีให้เห็นบ้างแต่ก็น้อยกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด การแข่งรถถูกแทนที่ด้วยการสืบสวนสอบสวนแบบภาพยนตร์แนวสายลับแทน สำหรับแฟนภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้ก็อาจจะมีอยู่ 2 แบบคือถ้าชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเลยก็เกลียดไปเลยเพราะมันไม่ได้มีกลิ่นอายการแข่งรถแบบเดิมอีกต่อไป
โดยรวมแล้วถือว่ามันเป็นภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนที่ค่อนข้างทำได้ดีตามมาตรฐานภาพยนตร์ฮอลลีวูด ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรมากมายเมื่อเทียบกับภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนเรื่องอื่น แต่ในแง่ของการเป็นภาพยนตร์แนวแข่งรถต้องขอบอกเลยว่าค่อนข้างแย่เพราะมีฉากแข่งรถให้เราเห็นน้อยมาก
ตัวอย่างหนัง Fast and Furious : Hobbs & Shaw
รีวิว หนัง Fast and Furious : Hobbs & Shaw บางส่วนจาก beartai
จากกรณีตีกันทางอินสตาแกรมจนดราม่าระหว่าง วิน ดีเซล กับ ดเวย์น จอห์นสัน ก็ทำให้ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอหัวใส เข็นหนังในจักรวาลฟาสต์เปิดปฐมฤกษ์ด้วย Hobbs & Shaw โดยดึงคาแรกเตอร์โจรและตำรวจปากจัดให้มาปฏิบัติภารกิจร่วมกันเพื่อตัดปัญหาดาราเกาเหลา และถือโอกาสเปิดช่องทางทำกินใหม่ให้หนังตระกูลฟาสต์เสียเลยโดยดึง เดวิด ลีตช์ ผู้กำกับหนังแอ็กชันมาแรงจาก John Wick1, Deadpool2 และ Atomic Blonde มากุมบังเหียนศึกน้ำลายและกำปั้นลุ่นๆของ 2 เหม่งปากจัดโดยยังได้ คริส มอร์แกน มาเขียนบทให้เหมือนหนังฟาสต์ทุกภาค ซึ่งนอกจากความเวอร์วังที่ติดมาจากหนังตระกูลฟาสต์แล้วมันยังเล่นกับความโม้ระเบิดระดับหนังไซไฟยังต้องยอมอีกด้วย
ทว่าผลลัพธ์ของการขยายจักรวาลครั้งนี้นอกจากเสน่ห์ของนักแสดงนำแล้ว เราแทบจะไม่พบความสนุกแบบหนังตระกูลฟาสต์เคยเสิร์ฟให้เราเท่าไหร่ แม้ว่าจะมีการกล่าวเรื่องครอบครัวต้องช่วยเหลือกันบ้างแต่ก็ผิวเผินเหลือทน และนอกจากการตัดฉากแข่งรถออกแล้วแทนที่ด้วยพลอตหนังสายลับโคตรโม้แบบ มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล แทน- แต่ก็นะลำพังแค่พลอตไวรัสถูกขโมยแล้วนางเอกต้องฉีดเข้าแขนตัวเองนี่ก็นึกถึงพลอต M:I2 (2000) กันโต้งๆแล้วหนังดันใส่ฉากขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ล่า ฉากตบตาศัตรู จนเหลือแค่นกพิราบบินนี่แหละที่ไม่ได้ใส่มา – จนงานอ้างอิงกลายเป็นลอกการบ้านไปซะงั้น มิหนำซ้ำสิ่งที่พาให้หลุดโลกหนักเลยคือการใส่ บริกซ์ตัน นักรบดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งมองเผินๆก็เท่ดีแต่รถมอเตอร์ไซค์พี่แกนี่แหละที่เวอร์จนมันเกือบจะแปลงร่างเป็นทรานส์ฟอร์เมอร์อยู่มะรอมมะร่อ
ซึ่งผลลัพธ์ของการคิดพลอตที่หยิบนี่ผสมนั่นเลยทำให้ตัวหนังไม่มีอะไรน่าจดจำเท่าไหร่ ซึ่งก็น่าเสียดายอีกเหมือนกัน เพราะนอกจากต้องจำทนดูหนังที่ไปลอกพลอต ลอกภาพจำชาวบ้านแถมเนื้อเรื่องที่แทบเดาได้ตลอดแล้ว ตรรกะของตัวละครที่เคยปูมาตั้งแต่ Fast 5 อย่างลุค ฮอบบส์ จะต้องสุขุมเยือกเย็น มีเหตุผลก็ถูกทำให้กลายเป็นกล้ามใหญ่ไร้สมอง ส่วนเดคคาร์ด ชอว์ ที่ดูโหดจัดจาก Fast7 ก็ดันดูติงต๊องแบบไม่ค่อยมีเหตุผล มิหนำซ้ำพอทั้งคู่ร่วมซีนกันเรากลับไม่รู้สึกถึงเคมีที่ทั้งคู่จะมีร่วมกันนอกจากบทที่ให้ปะทะคารมกันยืดยาวที่ขำบ้างชวนหาวบ้างแล้ว หนังก็ดันไม่ใส่จุดอ่อนให้เราได้ลุ้นหรือเห็นใจพวกเขาเท่าที่ควรกลับให้ทั้งคู่ชนะตลอดจนแทบไม่ต้องเอาใจช่วยใดๆ ดังนั้นเราจึงต้องหวังกับการดีไซน์ฉากบู๊แล้วล่ะว่าจะช่วยให้หนังดูสนุกหรือน่าตื่นตาตื่นใจขึ้นบ้างไหม
แน่นอนครับว่าการที่เราดูหนังแอ็กชันคงต้องทิ้งเหตุผลไว้บ้านแล้วไปรับความมันอย่างเดียว ซึ่งพอเราได้ลองสวมวิญญาณคอหนังแอ็คชั่นเพื่อดูและหวังว่าจะลุ้นกับฉากบู๊ต่างๆ ผลลัพธ์เหรอครับ เรากลับได้ดูหนังแอ็กชันที่มีการโคโรกราฟได้ขี้เกียจมาก ถามอย่างว่าใครไม่เคยเห็นฉากขับรถไล่ล่าใครไม่เคยเห็นซีนขับรถลอดรถบรรทุกหรือซีนพะบู๊ดวลหมัดเตะต่อยบ้าง..ก็เคยเห็นมาทั้งนั้นแหละ และยิ่งในหนังคือแทบหาความสดใหม่ในการออกแบบไม่เจอยิ่งดูก็ยิ่งเฟลนะ
ยิ่งการกำกับคิวบู๊ที่เราคาดหวังมากๆมาจบที่ก่ารเตะต่อยแบบนัดคิวถ่าย คือเราแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่แทนที่จะรู้สึกว่ามันเจ๋งหรือเท่ กลับรู้สึุกว่าเขาเอานักแสดงระดับนี้มาทำอะไรกันปัญญาอ่อนขนาดนี้แทน แถมฉากแอ็กชันเวอร์ๆส่วนใหญ่เรายังจำได้ชัดๆเลยว่าถ่ายหน้าบลูสกรีนความสดจึงหมดไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งก็ถือว่า เดวิด ลีตช์ เองที่เคยแจ้งเกิดจาก John Wick ดูมือตกและทำผลงานได้มือตกไปพอควร แต่ยังดีที่หนังได้วาเนสซ่า เคอร์บี ในบท แฮดดี้ ที่เอาเสน่ห์ความสวยของเธอมาผนวกในฉากบู๊จนทำให้ตัวหนังยังมีฉากแอ็กชันที่น่ามองอยู่บ้างครับ