รีวิว หนัง ESCAPE FROM MOGADISHU
รีวิว หนัง ESCAPE FROM MOGADISHU ภาพยนตร์แนวต่อสู้ระทึกขวัญที่จะได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนี้
เรียกได้ว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่หลังจากที่ภาพยนตร์จากฝั่งเอเชียอย่างพาราไซต์สามารถคว้ารางวัลออสการ์ได้สำเร็จอย่างงดงาม และมันก็ได้จุดประกายให้กับคนในวงการอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ให้สร้างสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยมและฉีกกฎระเบียบเดิมๆ ของตนเองทิ้งไป ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เห็นได้ชัดเลยว่าวงการภาพยนตร์และซีรี่ย์เกาหลีนั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาสามารถสร้างภาพยนตร์ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับระดับ HOLLYWOOD ได้แล้ว และในปี 2022 นี้พวกเขาได้มีภาพยนตร์ที่จะเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2022 เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นก็คือภาพยนตร์ที่เราจะมาแนะนำในวันนี้อย่าง ESCAPE FROM MOGADISHU นั่นเอง
ESCAPE FROM MOGADISHU เป็นภาพยนตร์แนวต่อสู้ระทึกขวัญที่ได้นำเอาสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์มาถ่ายทอดให้ผู้รับชมได้สนุกสนานและลุ้นระทึกไปกับมันอีกครั้ง แม้ว่าจะมีการดำเนินเรื่องราวตามสูตรสำเร็จแบบฉบับของภาพยนตร์เกาหลีแต่ก็สามารถสร้างความสำเร็จออกมาได้เป็นอย่างดี มีการเล่าเรื่องที่ทั้งหนักแน่นและจริงจังมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้มีการสอดแทรกประเด็นดราม่าหรือความโรแมนติกเข้ามาจนเกินความจำเป็นแต่อย่างใด
แถมผู้กำกับยังไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นรยูซึงวาน ผู้กำกับหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนักแสดงก่อนจะผันตัวมาอยู่เบื้องหลังและมักจะหยิบยกนำเอาเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวแนวพีเรียดมาบอกเล่าบนหน้าจออีกครั้งอย่างมีสีสันและเต็มไปด้วยความจัดจ้าน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าทางเขาไม่น้อยเลยทีเดียวและเขาก็สามารถถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปดูกันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คุ้มค่าแก่การรับชมหรือไม่
หนัง Amazon Prime
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง ESCAPE FROM MOGADISHU
ESCAPE FROM MOGADISHU เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าฮันชินซอง เขามีตำแหน่งเป็นถึงเอกอัครราชทูตเกาหลีประจำโซมาเลีย เขาต้องร่วมมือกับเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองแห่งชาติหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติเกาหลีใต้อย่างคังแดจินและเหล่าคณะทูตที่ทำงานอยู่ในเมืองแห่งหนึ่งของโซมาเลียอย่างโมกาดิชู
ในตอนนี้พวกเขากำลังพยายามอย่างหนักและทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกาหลีใต้นั้นได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสมาชิกในสหประชาชาติให้สำเร็จ แต่มันก็ไม่ง่ายเช่นนั้นเพราะประเทศคู่ปรับตลอดกาลของพวกเขาอย่างเกาหลีเหนือก็ทำทุกวิถีทางเช่นเดียวกันเพื่อให้ประธานาธิบดีในโซมาเลียไม่ออกเสียงรองรับประเทศเกาหลีใต้ให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของสหประชาชาติในการลงคะแนนที่ใกล้จะถึงนี้
เหล่าทีมนักการทูตจากเกาหลีเหนือนำโดยริมยงซูซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำโซมาเลียเช่นเดียวกันก็ได้เผชิญกับสถานการณ์พลิกผันเมื่อในเมืองโมกาดิชูได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมา ประชาชนต่างลุกฮือขึ้นมาเพื่อหวังจะโค่นล้มประธานาธิบดีอย่างโมฮัมเหม็ด ไซอัด บาร์รี ผู้นำเผด็จการที่ขึ้นปกครองประเทศในช่วงเวลานั้น
อย่างที่ทราบกันดีว่าสงครามทางการเมืองนั้นย่อมตามมาด้วยการทำลายทั้งข้าวของและสถานที่มากมายไม่เว้นแม้แต่สถานทูตของต่างประเทศ จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทั้งสถานทูตเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ถูกโจมตีจนพวกเขานั้นถูกตัดขาดจากโลกภายนอกและต้องพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดให้สำเร็จท่ามกลางสถานการณ์ที่คับขันโดยที่ไม่สามารถติดต่อรัฐบาลของประเทศตนเองได้เลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง ESCAPE FROM MOGADISHU
ESCAPE FROM MOGADISHU เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในปี 1991 ที่ประชาชนลุกขึ้นมาก่อนสงครามกลางเมืองเพื่อหวังที่จะปลดผู้นำเผด็จการลงจากอำนาจ มันเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงและน่าเจ็บปวด ก่อนหน้านี้เคยเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโซมาเลียที่มีการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการเป็นจำนวนมากกว่า 1 แสนคน ประชาชนไม่สามารถอดทนต่อความไม่เป็นธรรมและการคอรัปชั่นของรัฐบาลได้อีกต่อไป พวกเขาจึงพากันล้างระบบของผู้นำประเทศคนเก่าและทำได้สำเร็จเสียด้วย แต่มันกลับกลายเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมาเมื่อผู้นำของแต่ละกลุ่มต่างก็ต้องการอำนาจจนกลายเป็นสงครามการเมืองเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน
สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมจนน่าเหลือเชื่อก็คือองค์ประกอบงานสร้างจนทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีนั้นไปไกลมากแล้วจริงๆ ทุกสิ่งที่นำเสนอนั้นสามารถเก็บรายละเอียดได้อย่างยอดเยี่ยมไม่มีปล่อยผ่านเลยแม้แต่จุดเล็กๆ การเนรมิตสงครามกลางเมืองในโซมาเลียของพวกเขานั้นสามารถทำออกมาได้อย่างสมจริงจนน่ากลัว
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีแกเรื่องที่ค่อนข้างธรรมดาและไม่มีอะไรที่แปลกใหม่น่าสนใจ อย่างเช่นการต้องร่วมมือกันระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เพื่อเอาชีวิตรอดจากสงครามกลางเมืองในต่างแดนขณะที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถติดต่อรัฐบาลของตนเองได้สำเร็จ แต่ด้วยองค์ประกอบเสริมอย่างสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความบีบบังคับรวมไปถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ที่ใส่เข้ามาแบบจัดเต็ม ทำให้ภาพยนตร์นั้นสามารถสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับผู้รับชมได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในช่วง 20 นาทีสุดท้ายที่สามารถบีบคั้นอารมณ์และความรู้สึกของผู้รับชมได้อย่างเต็มที่ ทำให้จุดคลายแม็กของภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างความน่าจดจำให้กับผู้รับชมได้อย่างไร้ที่ติมากขึ้นกว่าเดิม