รีวิวภาพยนตร์ Gravity
รีวิวภาพยนตร์ Gravity ในปัจจุบันเราจะได้เห็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่นำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปมากยิ่งขึ้น ไม่ได้มีเพียงแต่ภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือฆาตกรสุดโรคจิตอีกต่อไป
มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่นำเสนอความสยองขวัญออกมาในรูปแบบวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าหวาดกลัวและลุ้นระทึก จะเป็นอย่างไรหากคุณนั้นติดอยู่ท่ามกลางห้วงอวกาศ แทบจะไร้ความหวังที่จะกลับลงมาสู่พื้นโลกได้
ไม่เพียงเท่านั้นเพื่อนร่วมทางที่เดินทางไปด้วยกันนั้นต่างก็เสียชีวิตกันทั้งสิ้น อากาศหายใจเป็นสิ่งที่เริ่มจะขาดแคลนรวมไปถึงทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือของใช้ ทำให้เวลากลายเป็นข้อจำกัดที่จะบีบคั้นให้คุณหาทางกลับสู้+่พื้นโลกเพื่อเอาชีวิตรอดให้เร็วที่สุด
ท่ามกลางห้วงอวกาศอันไกลโพ้นที่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่อากาศไว้หายใจ คุณจะเอาชีวิตรอดอย่างไร ทั้งหมดนี้เปรียบเสมือนกับแกนหลักของภาพยนตร์เรื่อง Gravity ที่ตัวละครเอกจะต้องพยายามเอาตัวรอดบนห้วงอวกาศที่ไม่มีอะไรเลยให้ได้ ไม่เพียงเท่านั้นเธอไม่ใช่คนที่มีความเชี่ยวชาญด้านยานอวกาศมากที่สุด
นี่เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้ขึ้นมาทำภายกิจนอกโลก แม้ว่าจะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแต่มันก็เป็นเพียงแค่การฝึก อุบัติเหตุบนอวกาศไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นเป็นประจำ มันจึงไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือ
ความน่าสนใจคือภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถนำเสนอความกลัวและความสยองขวัญออกมาได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งเหนือธรรมชาติและไม่จำเป็นที่จะต้องมีบรรยากาศดำมืดค่อยสร้างให้ผู้รับชมนั้นเกิดความไม่ไว้วางใจ และยังเสนอออกมาในรูปแบบของวิทยาศาสตร์อีกด้วย
แต่ผู้สร้างก็สามารถสร้างปัจจัยและข้อจำกัดต่างๆ ที่ทำให้เรากลัวได้มากมาย โดยเฉพาะเวลาที่มีการฉายให้เห็นภาพของโลกที่ไกลออกไปยิ่งทำให้รู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังของตัวละคร หากเธอไม่สามารถกลับไปได้ เธออาจจะเป็นคนที่เสียชีวิตอย่างทรมานที่สุดเพราะมันก็เหมือนกับการนับวันรอความตาย
เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จและได้การเสนอชื่อให้ได้รับรางวัลออสการ์มากถึง 10 สาขาด้วยกัน ด้วยทุนสร้างเพียง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นสามารถทำรายได้สูงถึง 723.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเลยทีเดียว
แม้ว่าจะมีการถกเถียงถึงความสมจริงภายในภาพยนตร์ แต่ด้วยความที่มันเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงมองว่าความสมจริงอาจจะไม่ใช่สิ่งสำคัญภายในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เราจะต้องสนใจ แต่เป็นรูปแบบการนำเสนออย่างไรให้ดูออกมาสยองขวัญมากที่สุดมากกว่า
เรื่องราวภายในภาพยนตร์เรื่อง Gravity
- Gravity จะเล่าถึงเรื่องราวการทำภารกิจบนกระสวยอวกาศซึ่งหนึ่งในทีมงานนั่นก็คือดอกเตอร์ไรอัน วิศวกรออกแบบเครื่องมือการแพทย์สาวที่เต็มไปด้วยความสามารถ ครั้งนี้เธอได้ออกมาปฏิบัติภารกิจในห้วงอวกาศเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
- แต่ด้วยความที่ได้ผู้บัญชาการซึ่งเป็นนักบินอวกาศมากความสามารถอย่างแมตต์ ทำให้เธอนั้นรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก แต่ในขณะที่ทุกคนนั้นกำลังทำภารกิจในการซ่อมบำรุงกล้องโทรทรรศน์ในอวกาศฮับเบิล
- พวกเขากลับได้รับคำสั่งที่ส่งตรงมาจากศูนย์ควบคุมภารกิจซึ่งตั้งอยู่ในฮูสตันให้ยกเลิกภารกิจทันที ทั้งหมดเกิดจากการที่รัสเซียยิงทำลายดาวเทียมทำให้เกิดขยะอวกาศซึ่งพุ่งชนกันจนกลายเป็นอุบัติเหตุทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ มันจึงเปรียบจะเหมือนกับพายุที่เต็มไปด้วยขยะอวกาศชิ้นใหญ่ที่พร้อมจะทำลายล้างยานของพวกเขา
- แน่นอนว่าการสั่งยกเลิกภารกิจสายฟ้าแลบทำให้ทุกคนที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ไม่สามารถเตรียมรับมือให้ทัน สุดท้ายยานของพวกเขานั้นก็ถูกเอาขยะอวกาศทำลายจนไม่สามารถกลับลงสู่พื้นโลกได้อีกต่อไป
- คนที่ทำภารกิจคนอื่นๆ นอกยานนั้นเสียชีวิตแทบจะทั้งสิ้นเหลือเพียงแค่เธอกับผู้บัญชาการอย่างแมตต์เท่านั้น แม้แต่คนที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในยานก็ยังไม่รอดจากการพุ่งชนครั้งนี้
- การสื่อสารกับโลกถูกตัดขาดทันทีทำให้การช่วยเหลือเป็นความหวังที่ริบหรี่เต็มทน ทั้งสองคนนั้นจึงต้องพยายามที่จะเอาตัวรอดและกลับลงมาสู่พื้นโลกให้ได้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่พวกเขามี
Gravity ภาพยนตร์ที่ถูกจับผิดในแง่วิทยาศาสตร์มากที่สุด
ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่อง Gravity เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่เล่าในฉากหลังที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากอีกเรื่องหนึ่ง ทำให้มันถูกเหล่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจับผิดกันแบบล้นหลาม จนถึงขั้นเคยถูกจัดลำดับให้เป็นภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ที่มีความสมจริงน้อยที่สุดเลยทีเดียว
โดยส่วนใหญ่แล้วทุกคนจะกล่าวถึงความเป็นมืออาชีพของทีมงานที่ขึ้นไปทำภารกิจบนอวกาศว่าไม่มีความเป็นมืออาชีพและการตัดสินใจบางอย่างนั้นไม่สมเหตุสมผลจนทำให้เกิดข้อผิดพลาดมากมาย
หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการที่เส้นผมของตัวละครภายในภาพยนตร์นั้นแผ่สยายกลางอวกาศซึ่งเป็นสถานที่ที่ไร้แรงโน้มถ่วง และยังมีข้อผิดพลาดทางวิทยาศาสตร์หลายจุดในภาพยนตร์เรื่องนี้
แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนานว่าภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ควรจะเน้นอะไรมากกว่ากันระหว่างความสนุกและความสมจริง
สำหรับคนที่ไม่ได้มีความรู้เชิงลึกในด้านวิทยาศาสตร์การรับชมภาพยนตร์แนวนี้อาจจะสนุกมากกว่าคนที่มีความรู้เชิงลึกในด้านวิทยาศาสตร์มารับชม อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับว่าผู้รับชมนั้นต้องการอะไรมากกว่ากัน