รีวิวภาพยนตร์สยองขวัญ The Empty Man ในช่วงยุค 90 นั้นเราจะได้เห็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่นำเสนอเรื่องราวกลุ่มวัยรุ่นทำอะไรแผลงๆ สักอย่างหนึ่งสุดท้ายก็ถูกไล่ล่าด้วยสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติหรือวิญญาณร้ายจนทยอยตายไปทีละคนจนหมดทั้งเรื่อง
หรือไม่ก็การท้าทายสิ่งนี้รับไม่ว่าจะเป็นการเล่นผีถ้วยแก้ว การนึกถึง Silent Man และอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้ผู้รับชมนั้นต้องรู้สึกหัวเสียไปกับพฤติกรรมบ้าบอเหล่านั้น ที่สำคัญคือภาพยนตร์แนวสยองขวัญเหล่านี้มักจะนำเสนอเรื่องราวไปในทิศทางเดียวกัน
นั่นก็คือมีคนหนึ่งตายหลังจากนั้นคนอื่นก็ค่อยๆ ทยอยตายกันไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็จะมีการพยายามสืบหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็นำเสนอภาพออกมาในรูปแบบที่เต็มไปด้วยความรุนแรง
รีวิวภาพยนตร์สยองขวัญ The Empty Man
ภาพยนตร์เรื่อง The Empty Man เป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกแบบนั้นในครั้งแรกที่เราได้รับชมตัวอย่าง แต่ความจริงแล้วมันสับขาหลอกเราแบบที่ผู้รับชมจะนึกไม่ถึงอย่างแน่นอน
ที่สำคัญคือมีการนำเสนอเรื่องราวที่ชาญฉลาดเป็นอย่างมาก สามารถปลุกความกลัวในใจของผู้รับชมได้เป็นอย่างดี ในครั้งแรกนั้นเราอาจจะนึกว่ามันจะมีความคล้ายคลึงกับ Silent Man ไม่ว่าจะด้วย Concept หรือชื่อที่มีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก
แต่ต้องบอกเลยว่ามันไม่ได้เหมือนกับภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวโดยสิ้นเชิง ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอความสยองขวัญออกมาในรูปแบบที่เราเห็นกันเยอะแยะในช่วงยุค 90 แต่มันเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่นำเอาเรื่องปรัชญาและแนวคิดรวมไปถึงศาสนาพุทธเข้ามานำเสนอในรูปแบบสยองขวัญมากกว่า
มันจึงสยองขวัญด้วยแนวคิดและวิธีการมากกว่าที่จะสยองขวัญด้วยสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ทำให้วิธีการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างจะเนิบนาบแต่ผู้รับชมต้องมีสมาธิในการรับชมตลอดเวลา
เพราะหากหลุดไปเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ไม่เข้าใจเนื้อหาที่เหลือข้างหลังทั้งหมด ที่ต้องเล่าเรื่องช้าแบบนี้ก็เป็นเพราะว่าภาพยนตร์ต้องการที่จะให้ผู้รับชมนั้นคิดตามตัวละครไปด้วยนั่นเอง
เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไม่ชอบภาพยนตร์สยองขวัญที่มีฉากตุ้งแช่และภาพที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ข่าวภาพยนตร์เรื่องนี้แทบจะไม่มีภาพที่รุนแรงและมีฉากตุ้งแช่ให้ตกใจเพียงแค่ 2-3 ฉากเท่านั้น
เรื่องราวภายในภาพยนตร์เรื่อง The Empty Man
The Empty Man จะเปิดเรื่องออกมาด้วยภาพยนตร์สั้นที่ทำให้ผู้รับชมนั้นรู้สึกสงสัยและหวาดกลัว เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวจำนวน 4 คนด้วยกัน ประกอบไปด้วยผู้ชาย 2 คนและผู้หญิง 2 คนซึ่งต่างก็เป็นคนรักกัน
ในขณะที่พยายามปีนเขาขึ้นไปบนเทือกเขาแห่งหนึ่งในแถบประเทศเนปาล พวกเขานั้นต้องข้ามสะพานเชือกที่ดูลึกลับแต่ก็ผ่านมันไปได้ด้วยดี แต่เมื่อใกล้ถึงจุดหมายผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มก็ได้ยินเสียงคล้ายกับเสียงเป่าขลุ่ยทำให้เขานั้นรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่ามันคือเสียงอะไร
เขาจึงได้เดินไปหาต้นเสียงจนทำให้พลัดตกลงไปในช่องแคบระหว่างหน้าผา คนที่เหลือนั้นตกใจเป็นอย่างมากและผู้ชายที่เหลืออีก 1 คนก็ลงไปช่วยเขาเนื่องจากตะโกนเรียกเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบกลับมา
แต่เมื่อลงไปแล้วเขาก็พบว่าเพื่อนของเขานั้นกำลังนั่งขัดสามาธิอยู่ตรงหน้าโครงกระดูกรูปร่างตลาดและไม่ยอมขยับตัวไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น เขาคิดว่าเพื่อนเขาน่าจะช็อคเขาจึงตัดสินใจช่วยเพื่อนขึ้นมาโดยไม่สนคำเตือนที่ว่าหากแตะต้องตัวเขาทุกคนจะต้องตาย
หลังจากนั้นนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก็ต้องเจอกับเรื่องราวประหลาดมากมายใน 3 วันที่ติดอยู่บนเทือกเขาในกระท่อมที่แทบจะจมลงไปในหิมะ สิ่งที่ชายหนุ่มคนนั้นนำติดมือขึ้นมาด้วยก็คือกระดูกที่เมื่อเป่าแล้วจะได้ยินเสียงเหมือนขลุ่ย
สุดท้ายแล้วชะตากรรมของเพื่อนร่วมทางทั้งสามของเขาก็เสียชีวิตลงเหลือเพียงเขาคนเดียวที่รอดชีวิตในสภาพที่กำลังช็อค
เป็นเวลาต่อมากว่า 20 ปีในเมืองที่มีชื่อว่า MidWestern ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีการก่อเหตุอาชญากรรมภายในเมืองกับเกิดเรื่องราวการหายตัวไปของกลุ่มวัยรุ่นอย่างลึกลับ ทำให้ตำรวจนั้นหัวหมุนเป็นอย่างมาก
และมีการกล่าวถึง Empty Man ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มวัยรุ่นนั้นหายตัวไป ทำให้ตำรวจวัยเกษียณอย่างเจมส์ต้องเข้าไปสืบหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่าความจริงเป็นอย่างไร
เนื่องจากลูกสาวของเพื่อนบ้านของเขานั้นหายตัวไปเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่เขาได้ค้นพบนั้นมันมากกว่าเรื่องราวลี้ลับแต่มันยังรวมไปถึงกลุ่มลัทธิที่กำลังพยายามทำบางสิ่งบางอย่างอยู่อย่างลับๆ อีกด้วย โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าตนเองนั้นกำลังตกสู่อันตรายอย่างถึงที่สุด
The Empty Man ภาพยนตร์ที่นำเสนอปรัชญาออกมาในรูปแบบสยองขวัญ
เราจะเรียกภาพยนตร์เรื่อง The Empty Man ว่าเป็นภาพยนตร์แนวปรัชญาก็ไม่ผิดนัก เพราะในภาพยนตร์มีการนำเสนอปรัชญาและแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับลัทธิและศาสนามากมาย
เพียงแต่ทางทีมผู้สร้างนั้นเลือกที่จะนำเสนอออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์สยองขวัญเท่านั้น แต่ความจริงแล้วเรื่องราวความลี้ลับนั้นถูกนำเสนอออกมาเพียงเล็กน้อย และไม่ได้เป็นแกนหลักของภาพยนตร์อย่างที่ผู้สร้างพยายามจะหลอกให้เราเข้าใจผิดไปเป็นแบบนั้น
ตั้งแต่ตัว Empty Man เองหรือแม้แต่โครงกระดูกตลาดที่เราเห็นในภาพยนตร์สั้นต้นเรื่อง ไม่เพียงเท่านั้นยังมีการหยิบยกนำเอาศาสนาพุทธมาตีความอีกด้วยโดยมีการกล่าวถึงเรื่องจิตวิญญาณและสมาธิ ส่วนของลัทธินั้นจะมีการหยิบยกนำเอาทฤษฎีสมคบคิดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวันโลกาวินาศหรือความโกลาหลที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
แต่อย่างไรก็ตามการเลือกนำเสนอเช่นนี้มีความเสี่ยงสูงมากที่จะทำให้ผู้รับชมนั้นเกิดความไม่เข้าใจและทำให้ความสนุกในการรับชมภาพยนตร์นั้นลดน้อยลงไปอย่างชัดเจน
ตอนจบนั้นเป็นการจบแบบปลายเปิดที่ผู้รับชมนั้นสามารถตีความออกมาอย่างไรก็ได้ และยังมีการผสมผสานความเป็น scifi เข้ามาในบางฉากโดยที่เรื่องราวนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็น scifi เลยแม้แต่น้อย แต่มันก็ทำให้ภาพยนตร์นั้นมี Mood and Tone ที่หลอนมากยิ่งขึ้นได้เป็นอย่างดี
Director: David Prior